วิธีตอบข้อโต้แย้งในธุรกิจเครือข่าย MLM

วิธีตอบข้อโต้แย้งในธุรกิจเครือข่าย MLM

ถ้าท่านไม่ต้องการเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธและล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจเครือข่ายของท่านอีกต่อไป และต้องการรู้วิธีดึงดูดผู้คนให้เข้ามาขอสมัครทำธุรกิจกับท่านเอง คลิกที่นี่

วันนี้ ผมจะมาแบ่งปันวิธีการตอบคำถาม ตอบข้อสงสัย ตอบข้อกังวล ตอบข้อโต้แย้ง

ที่เป็นคำถาม ที่คนจะถามมากที่สุด ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย หรือ ธุรกิจออนไลน์กับท่าน ให้ท่านได้เห็นเลยครับว่า ถ้าถูกถามคำถามเหล่านี้แล้ว ท่านจะตอบอย่างไร

แล้วถ้าเกิดเขายิงมาเป็นชุดๆท่านจะสามารถรับมือแบบหลบกระสุน และ โต้กลับได้ด้วย

วีดีโอ “วิธีตอบ ข้อกังวลสงสัย ข้อโต้แย้งในธุรกิจเครือข่าย”

หนังสือเสียง “วิธีตอบ ข้อกังวลสงสัย ข้อโต้แย้งในธุรกิจเครือข่าย”

สารบัญเนื้อหาวีดีโอ “วิธีตอบ ข้อกังวลสงสัย ข้อโต้แย้งในธุรกิจเครือข่าย”หนังสือเสียง “วิธีตอบ ข้อกังวลสงสัย ข้อโต้แย้งในธุรกิจเครือข่าย”ตอนที่ 14 วิธีรับมือกับคำถาม ข้อกังวลสงสัย ข้อโต้แย้งในการสปอนเซอร์คนเข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายคำถามที่ 1 ทำไมต้องทำธุรกิจเครือข่ายคำถามที่ 2 ฉันต้องขายไหม ?คำถามที่ 3 เป็นพีระมิดหรือแชร์ลูกโซ่หรือเปล่า ?คำถามที่ 4 ฉันไม่มีเงิน ( คนที่โดนถามทั่วไปมักจะสตั้นไป 10 วินาที )คำถามที่ 5 สามี ภรรยา ฉันไม่สนใจหรอก!คำถามที่ 6 การต่อตรงกับบริษัทจะดีกว่า การถูกอุปถัมภ์โดยคนอื่นหรือเปล่าคำถามที่ 7 ผมต้องทำงานร่วมกับทีมงานลงไปลึกแค่ไหนคำถามที่ 8 ผมจะเลือกบริษัทเครือข่ายได้อย่างไรคำถามที่ 9 ผมไม่มีเวลาคำถามที่ 10 การหาสมาชิก (Recruiting) กับ การอุปถัมภ์ (Sponsoring) ต่างกันอย่างไรคำถามที่ 11 ผู้อุปถัมภ์โดยตรงของผมไม่ช่วยผมเลย จะทำอย่างไรดีคำถามที่ 12 การประชุมสำคัญแค่ไหน

ตอนนี้เป็นตอนที่ 7 แล้ว ย้อนกลับไปดูตอนผ่านมาได้จากที่นี่

ตอนที่ 14 วิธีรับมือกับคำถาม ข้อกังวลสงสัย ข้อโต้แย้งในการสปอนเซอร์คนเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย

ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะทำธุรกิจอยู่ หรือไม่ทำก็ตาม ผมการันตรีว่า ท่านจะต้องมีการเกี่ยวข้องธุรกิจเครือข่ายอย่างแน่นอน ไม่เร็วก็ช้า ถ้าท่านยังไม่เคยเข้าร่วม 

แต่ถ้าท่านเข้าร่วมแล้ว ข้อมูลนี้สำคัญกับท่านมาก เพราะอะไรทำไม เดี๋ยวคำถามและคำตอบในวันนี้จะทำให้ท่านได้เห็นภาพไปพร้อมๆ กันหมดเลยครับว่า

จริงๆ แล้วธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่สุดยอดที่สุดอันดับ 1 ของโลก

เพียงแต่ว่าคน 99.99% ที่ทั้งยังไม่ได้เข้าในธุรกิจเครือข่าย และเข้ามาแล้วเขายังไม่เข้าใจมัน แล้วทำไมเขาจำเป็นที่จะต้องเข้าใจมัน เพราะเมื่อเขาเข้าใจมันชีวิตเขาจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอีกเลยตลอดกาล

คำถามที่ 1 ทำไมต้องทำธุรกิจเครือข่าย

เวลาเราไปสปอนเซอร์คน เวลาเราแบ่งปันโอกาสให้กับคน เวลาเรานำเสนอ โปรโมทให้เขาเข้าไปดูงานเปิดโอกาสทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นในระบบออนไลน์ หรือในห้องประชุมก็ตาม คนจะถามครับว่า

“มันคืออะไรหรือธุรกิจเครือข่าย”

ฉันไม่รู้จัก ฉันไม่เข้าใจ หรือ ฉันเคยทำมาแล้ว ฉันไม่ประสบความสำเร็จ ทำไมฉันจะต้องทำธุรกิจเครือข่ายให้ได้ด้วย ไม่ทำได้ไหม ทำอย่างอื่นก็ได้ไหม อย่างอื่นก็รวย เห็นเขารวยกันหมดนี่

ท่านจะตอบเขายังไง คนส่วนมากนะครับ ไม่รู้วิธีการตอบที่เวิร์ค เดี๋ยวผมจะทำให้ท่านได้เห็นภาพครับว่า ท่านจะตอบยังไงให้มันเวิร์ค

ผมอยากให้ทุกท่าน ทำความเข้าใจตัวอย่าง ที่ผมกำลังจะแบ่งปันในตอนนี้ แล้วท่านจะเห็นด้วยกับผมว่า ทำไมประชากรบนโลกนี้ทั้งโลกมากกว่า 90% ควรทำธุรกิจเครือข่าย ผมไม่ได้พูดผิดนะครับ ประชากร คนทั้งโลกที่มีประชากรทั้งหมด 6 พันล้านคน ทำไม 90% ควรทำธุรกิจเครือข่าย

ผมมีคำถามครับว่า การดำเนินชีวิตส่วนใหญ่ ที่ทุกท่านใช้กันอยู่ตอนนี้ถูกกำหนดให้ทำงาน จนกว่าจะเกษียณอายุ คนส่วนใหญ่ทำงานประจำ และเขาต้องมีเงินเก็บมากพอที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายจนกว่าจะตายจากโลกนี้ไป เห็นด้วยไหมครับ

การมีชีวิตด้วยเงินประกันสังคม ไม่ถือว่าเป็นการมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายนะครับ เห็นด้วยไหมครับ

สำหรับคนส่วนใหญ่การที่จะมีรายได้เดือนละ 200,000 บาท ได้นั้นคุณจะต้องมีบัญชีเก็บในธนาคารซึ่งจ่ายดอกเบี้ย 5% ต่อปี ท่านก็รู้อยู่นี่ว่าประเทศไทยเราจ่ายดอกเบี้ยกี่เปอร์เซ็น อันนี้ผมยกตัวอย่าง 5% จ่ายเยอะๆ เลยนะครับ

 

เพื่อให้ท่านได้เห็นภาพครับว่า เราทุกคนอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม และเสี่ยงต่อการที่จะไปต่อไม่ได้ในชีวิตมากแค่ไหน

ผมยกตัวอย่างนะ สมมุติว่าเรามีบัญชีเงินเก็บในธนาคารแล้วธนาคารจ่าย 5% เป็นจำนวน 48 ล้านบาท

สำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้เดือนละ 2 แสนนะครับจะต้องมีเงินเก็บ 48 ล้าน

ผมจะให้ดูตารางเปรียบเทียบให้ท่านได้เห็นครับว่า ขอให้ท่านเลือกรายได้ต่อเดือนที่ท่านต้องการ เมื่อคำนวณกับดอกเบี้ยในอัตราที่ต่างกันแล้ว ท่านจะรู้ได้ครับ ว่าท่านต้องมีเงินต้นเท่าไหร่

แต่อย่าลืมนะครับว่าก่อนที่ท่านจะเก็บเงินได้นั้น ท่านต้องมีรายได้ ท่านต้องจ่ายภาษี จ่ายค่าบ้าน และบิลค่าใช้จ่ายสารพัด บัตรเครดิต ค่านั้น ค่าไฟ ค่ากิน ค่าเปลี่ยนยางรถ ค่าเติมน้ำมัน ค่าอินเตอร์เน็ต

เพราะฉะนั้นคำนวณดีๆนะครับว่า ท่านเหลือเงินเก็บต่อเดือนเท่าไหร่ เรารู้แล้วนะครับว่าเงินต้น 48 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5% จะทำให้ท่านมีรายได้ต่อเดือน 2 แสนบาท

คราวนี้เราลองมาแบ่งครึ่งถ้าเงินต้น 24 ล้านบาท ท่านสามารถสร้างรายได้ 1 แสนบาทต่อเดือน คราวนี้ท่านรู้จักคนกี่คนที่สามารถเก็บเงินได้ 24 – 48 ล้านบาท ก่อนที่จะเกษียณ

เพื่อที่จะมี Passive income (รายได้ที่เข้ามา ในขณะที่เราอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร) เดือนละ 1-2 แสน ท่านรู้จักกี่คนครับ

คนที่ทำธุรกิจเครือข่ายสามารถใช้เวลา 2 -5 ปี ทำงานแบบพาร์ทไทม์ เริ่มต้นสร้างธุรกิจจากที่บ้าน สร้างรายได้ 1-2 แสนบ้านต่อเดือนได้เช่นเดียวกัน

โดยไม่จำเป็นต้องมีเงินเก็บ 24-48 ล้าน

เงินจำนวนนี้ ปริมาณเท่าๆ กับรายได้จากการที่ท่านมีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยที่ 5% อย่างที่ผมบอกเมื่อกี้ สุดยอดไหมครับ และที่สำคัญเงินฝากในธนาคารกับเครือข่ายที่คุณสร้างไว้มันเหมือนกันตรงที่ว่า มันไม่สนใจว่าท่านจะลุกจากที่นอนตอนเช้าเพื่อออกไปทำงานหรือไม่ ยังไงท่านก็ยังรับรายได้อยู่

ตัวอย่างข้างต้นนี้แลดงให้เห็นถึงเวลา 2-5 ปีในธุรกิจเครือข่ายกับรายได้ในแบบที่แม้ว่าท่านจะทำงานหรือไม่รายได้นั้นก็ยังอยู่ตลอดไป

ทีนี้มาดูกันภายในเดือนแรกถึง 1 ปีแรก กันบ้างครับว่าท่านต้องมีเงินฝากที่จ่ายดอกเบี้ย 5% ต่อปีในธนาคารเป็นจำนวน 960,000 บาท ถึงจะมีรายได้ 4,000 บาทต่อเดือน ตามรูป

เพราะฉะนั้นเห็นไหมครับว่าถ้าเป็นในธุรกิจเครือข่าย เกือบทุกคน หากทำธุรกิจโดยใช้ระบบที่ถูกต้องแล้ว และสามารถสร้างองค์กรที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเขา 4,000 บาทต่อเดือนได้ภายใน 3 เดือน

ท่านเชื่อว่าเป็นไปได้ไหม?

ไม่ต้องมีเงินฝาก 960,000 บาท แต่เลือกธุรกิจเครือข่ายที่ดีสักตัวหนึ่งเข้าไปลงมือทำแล้วใช้เวลาอย่างจริงจัง 3 เดือน ไม่ว่าจะพาร์ทไทม์ หรือ ฟลูไทม์ก็ได้ สร้างธุรกิจเครือข่ายท่านว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาคนนั้นจะมีรายได้ 4,000 บาทต่อเดือนใน 3 เดือน

แล้วท่านรู้จักคนกี่คนครับที่สามารถมีเงินเก็บ 60,000 – 120,000 บาทภายใน 1 เดือนมีกี่คนที่เข้าไปทำงานประจำในเดือนแรกแล้วสามารถมีเงินเก็บ 60,000 – 120,000 มันน้อยมากเลยครับ

เพราะฉะนั้นแล้วธุรกิจเครือข่ายดูเป็นไปได้มากกว่ารึเปล่า เมื่อท่านได้รู้เรื่องราวของคนที่เข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายภายใน 1 ปีกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านรึเปล่า แต่ก็ต้องยอมรับนะครับว่า อาจมีบางคนไม่รู้จักใครเลยที่สามารถมีเงินเก็บ 60,000 – 120,000 บาทใน 1 เดือนได้ ผมพูดถึงเงินเก็บในธนาคารนะครับ

แต่ท่านน่าจะพอรู้จักใครบ้างไหมครับ ที่สามารถอุปถัมภ์เพื่อนของเขาได้เดือนละ 1 คน จำได้ไหมครับว่าถ้าเราใช้บทสนทนา 45 วินาทีในการค้นหาคน ในการคัดกรองคนว่าเราควรจะคุยกับเขาต่อหรือเปล่า

ถ้าท่านยังไม่เคยดูให้ท่านดูย้อนนะครับไปในวีดีโอก่อนหน้านี้หรือว่าอ่านบทความเก่าก่อนหน้านี้ของผม ท่านจะเห็นเลยว่าผมสอนมาเป็นขั้นตอน ทีละขั้นตอน

เพราะข้อมูลทั้งหมดนี้ผมนำมาจากหนังสือ การนำเสนอ 45 วินาทีที่จะเปลี่ยนชีวิตท่าน ของดอน เฟียล่า นี่ไม่ใช่สุดยอดวิชาที่ผมคิดค้นเอง แต่ผมเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จที่สร้างองค์ระดับ 800,000 คนได้

และผมก็เอามาถ่ายทอดต่อให้ท่านเพื่อที่จะได้ร่วมด้วยช่วยกันให้ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นถ้าท่านยังไม่เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ไปหาซื้อมาอ่านนะครับ หนังสือชื่อ การนำเสนอ 45 วินาที ที่จะเปลี่ยนชีวิตชีวิตคุณ

เราสามารถใช้บทสนทนา 45 วินาที ในการพูดให้เพื่อนเราฟัง หรือ เพื่อนของเราให้เวลา 45 วินาทีเพื่ออ่านนามบัตรของเราที่เราให้อ่านว่ามันมีข้อความอะไรบ้าง ถ้าท่านพูดไม่เก่งให้ท่านยื่นนามบัตรที่เตรียมบทสนทนานี้ไว้แล้วหรือส่งข้อความที่พิมพ์บทสนทนานี้ไว้แล้ว ให้เขาอ่านได้ไหม

ถ้าเรารู้วิธีการทำงานให้ง่ายๆ ชีวิตท่านจะดีขึ้นมากในการสร้างธุรกิจเครือข่าย หลังจากที่เขาสนใจก็ให้หนังสือเล่มนี้ให้เขาไปอ่านบทที่ 1- บทที่ 4 เท่านั้น หลังจากนั้นก็นัดให้เขามาคุยกับอัพไลน์ของท่าน หรือ ว่าสปอนเซอร์ของท่าน ผู้อุปถัมภ์ของท่าน

เห็นไหมท่านไม่ต้องพูดอะไรเลย ท่านพูด 45 วินาที เอาสื่อให้เขาดู ไม่ว่าจะเป็นวีดีโอหรือหนังสือ หรือคลิปเสียง แล้วก็ให้คุยกับอัพไลน์ นี่คือกระบวนการในการสปอนเซอร์ที่ง่ายที่สุด

ถ้าท่านนั้นเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย แล้ว หลุดโฟกัสไปแล้วกลับมาใหม่ ตระหนักใหม่ว่า ฉันทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำทุกวันรึเปล่า วันนี้ท่านจะได้เห็นหมดเลยว่าที่ท่านไปสปอนเซอร์แล้วโดนเขายิงคำถามมาแล้วตอบไม่ได้ แล้วจะตอบยังไง คราวนี้เราอาจจะให้วิธีการโทรศัพท์ 3 สายก็ได้เพื่อคุยกับอัพไลน์เพราะฉะนั้นอยู่ตรงไหนก็ได้เห็นไหมครับว่ามันน่าตื่นเต้นมาก

ถ้าใครก็ตามสามารถใช้ระบบนี้ในการสปอนเซอร์เพื่อนของเขาเดือนละ 1 คนแล้วก็สอนให้เพื่อนของเขาทำได้เช่นเดียวกัน วิธีที่ผมพูดมาทั้งหมดนั้น ท่านว่าเป็นไปได้ไหมครับ

ถ้าท่านอุปถัมภ์คนเดือนละ 1 คน แล้วสอนให้เขาทำอย่างเดียวกัน องค์กรของท่านจะเป็นแบบนี้ครับ แต่ท่านจะต้องมีความรับผิดชอบในการสอนให้ทีมของท่านที่ท่านสปอนเซอร์เข้ามา รู้ทุกสิ่งในธุรกิจและทำงานเป็นด้วย ก่อนที่จะไปสปอนเซอร์หรืออุปถัมภ์คนเพิ่ม การมีหน้ากว้างเยอะๆไม่ดี การสร้างสายลึกสิดี

ถ้าท่านได้เรียนบทเรียนก่อนหน้านี้ ท่านจะรู้เลยครับว่ามันสุดยอดยังไงในการทำธุรกิจเครือข่าย ท่านไม่ต้องทำงานกับคนทั้งโลก ทำงานกับแค่ 5 คนที่จริงจังเท่านั้น เพราะหากท่านยังมี 5 คนที่ยังไม่สามารถทำงานด้วยตัวเองได้ ท่านไม่ควรไปอุปถัมภ์คนที่ 6 ต่อ ท่านควรจะสอน 5 คนจริงจังของท่านให้เขาทำงานเป็นแล้วเดี๋ยว Active และ Passive income ที่สุดยอดจะตามท่านมา

สิ่งที่ท่านจำเป็นจะต้องทำจริงๆ

1. ทำความรู้จักกับเพื่อน (หากคุณไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว)

2. นัดพบกับเพื่อของคุณและเล่าให้เขาฟังว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่

คำถามที่ 2 ฉันต้องขายไหม ?

ถ้าท่านทำธุรกิจเครือข่าย และท่านต้องการสปอนเซอร์คนเข้าร่วมธุรกิจ

หนึ่งในคำถามที่ท่านจะต้องโดนถามมากๆ อย่างแน่นอนเลยก็คือ ฉันต้องขายไหม? หรือ ฉันต้องเป็นนักขายไหม?

คำตอบคือ ไม่!

ท่านไม่ต้องขาย หลายคนที่เพิ่งเข้ามาดูอาจจะช็อค ฉันทำธุรกิจเครือข่ายปีนี้เข้าปีที่ 5 ที่ 10 แล้ว ฉันยังเข้าอยู่เลยว่าทำธุรกิจเครือข่ายต้องขาย

ผมตอบเลยคือ ไม่ ! แต่ผลิตภัณฑ์จะเคลื่อนไหวเองขณะที่ท่านสร้างธุรกิจอย่างถูกต้อง

โดยการแบ่งปันให้กับเพื่อนของท่าน ท่านเคยเห็นการนำเสนอขายเครื่องกรองน้ำ แบบเคาะประตูตามบ้านใช่ไหมครับ หรือไม่ก็เคาะประตูขาย ครีม ลิปสติก หรือการโทรมาขายประกันชีวิต

ท่านคิดถึงภาพเหล่านี้ออกไหม เมื่อนึกถึงการขาย คำตอบก็คือ ใช่ นี่คือสิ่งที่ คนทั่วไปพอพูดถึงการขายเขานึกภาพเหล่านั้น และภาพเหล่านั้นคือสิ่งที่คนไม่ชอบขาย

95% เข้าใจว่านั่นมันคือทั้งหมดของการขาย

จริงๆแล้วพวกเข้าใจว่าการขายต้องโทรศัพท์ไปหาคนแปลกหน้า และพยายามตื้อ ง้อ ขอ หรือ ยัดเหยียด กดดัน ให้คนที่เขาไปหานั้น ซื้ออะไรที่คนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องใช้หรือ ไม่ต้องการ

ซึ่งมันทำให้คนที่ขายอึดอัด และคนที่ถูกขายก็อึดอัด จริงไหมครับ

นี่คือสิ่งที่อยู่ในหัวคนเลย เพราะเขาเคยโดนมาก่อน เคยโดนนักขายยัดเหยียดมาก่อน เขาเคยโดนนักขายพยายามทำให้เขาซื้อ เขาก็อึดอัดมากไม่อยากจะซื้อไม่รู้จะตัดบทยังไง ฉันไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลย ฉันไม่อยากเจอสถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว

เฮ้ย! แล้วเพื่อนมาชวนฉันไปทำธุรกิจเครือข่าย แล้วเพื่อนก็ทำเหมือนกันเลย ทำเหมือนกับอีกคนเลยที่มาชวนฉัน ฉันก็เลยต้องถามไง ฉันต้องขายไหม แล้วถ้าท่านตอบไม่ได้ จบครับ ถ้าท่านแก้ความกระจ่างในใจเขาไม่ได้ จบ 

เดี๋ยวมาฟังวิธีการว่า ต้องตอบยังไง ผมบอกไปแล้วสิ่งแรกเลยท่านต้องทำให้เขาเห็นภาพชัดเจน

ผลิตภัณฑ์จะเคลื่อนไหวเองขณะที่เราสร้างธุรกิจอย่างถูกต้อง โดยการแบ่งปันให้กับเพื่อนของเรา คนในครอบครัวของเรา แบ่งปันไม่ใช่การขาย เพราะฉะนั้นในธุรกิจเครือข่ายเราไม่จำเป็นต้องทำการขายเหมือนอย่างที่ผมยกตัวอย่างมา ทุกอย่างเลย สาเหตุเป็นเพราะว่า

  1. คุณกำลังทำงานกับคนรู้จัก
  2. คุณกำลังทำงานกับสินค้าที่เขาจำเป็นต้องใช้และต้องการ

คำถามที่ 3 เป็นพีระมิดหรือแชร์ลูกโซ่หรือเปล่า ?

วิธีการตอบง่ายมากครับ ตอบว่า ไม่ใช่เลยครับ ! สิ่งที่ทำให้ธุรกิจเครือข่ายแตกต่างกับพีระมิด ก็คือ 

พีระมิด ผิดกฎหมาย

แต่ธุรกิจเครือข่ายอยู่มานานมากกว่า 30 ปีแล้ว ถ้ามันผิดกฎหมายมันคงโดนปิดไปนานแล้ว โดยหน่วยราชการของทุกประเทศ

เมื่อท่านเจอข้อโต้แจ้งเรื่องพีระมิดโดยส่วนมากแล้วคนที่โต้งแย้งท่านว่าแชร์ลูกโซ่รึเปล่า พีระมิดรึเปล่า

เพราะผู้คนเหล่านี้กลัวที่จะล้มเหลว กังวล คนที่ท่านกำลังเสนอโอกาสให้ เขาไม่กล้าที่จะลองและต้องการที่จะปฎิเสธท่าน เขากลัว

เขาไม่ได้มีทัศนคติที่เมื่อมีโอกาสแล้วอยากจะคว้าไว้ กลัวไปหมดเลย ก็เลยงัดไม้ตายขึ้นมา แชร์ลูกโซ่รึเปล่า

เพราะเขารู้ว่าท่านจะตอบไม่ได้แน่นอน ท่านจะอึกๆอักๆ เพราะท่านไม่ได้ซ้อมวิธีการตอบมาก่อน และเขาคิดว่าใช้ไม้นี้ท่านสตั้นแน่นอน

และคนส่วนมากสตั้นตอบไม่ได้ แต่ถ้าท่านตอบได้ว่าไม่ใช่ ถ้าผิดกฎหมายโดนจับไปนานแล้ว เห็นด้วยไหม พีระมิดมันผิด ฉันไม่ผิด

คำถามที่ 4 ฉันไม่มีเงิน ( คนที่โดนถามทั่วไปมักจะสตั้นไป 10 วินาที )

คนทั่วไปเมื่อเจอคำถามนี้จะไปต่อไม่ได้

พูดมา 2 ชั่วโมง นำเสนอสุดๆเลย อยากทำนะ แต่ไม่มีเงิน วิธีการตอบง่ายมากๆเลยครับ ง่ายเกินกว่าที่ท่านจะคิดด้วย

ถ้าเป็นผม ผมจะตอบว่า โอเค คุณไม่มีเงินเหรอ ไม่ใช่ปัญหาเลยนะ เพราะคุณสามารถเริ่มต้นทำธุรกิจเครือข่ายได้หลายยี่ห้อด้วยเงินทุนเริ่มต้นน้อยกว่า 500 บาทด้วยซ้ำ

คุณจะทำธุรกิจเครือข่ายเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของตัวคุณเอง หรือทำงานเพื่อให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นไปตลอดชีวิตของคุณ นั่นเป็นสิ่งที่คุณเลือกได้ทันที

คำถามที่ 5 สามี ภรรยา ฉันไม่สนใจหรอก!

สิ่งที่ผมจะตอบนั้นและสิ่งที่ ดอน เฟียล่า แนะนำก็คือ

อย่าให้สิ่งเหล่านี้ดึงคุณไว้เพราะปกติแล้วตอนเริ่มแรกเนี่ยก็จะมีสามี มีภรรยา หรือจะมีลูก หรือจะมีพ่อ แม่ เพียงคนเดียวที่ทำธุรกิจ คนอื่นไม่เห็นด้วยหรอกและเมื่อเขาเริ่มสำเร็จ อีกคนหนึ่งก็จะตามมาร่วมด้วยแน่นอน 80-90 %

เมื่อเขาทำรายได้ 50,000 – 100,000 บาท คนที่ค้านจะกลับมาเห็นด้วย ร่วมด้วย คราวนี้มันเป็นที่ใครละ ที่จะทำให้มันเกิดขึ้น

คือคุณนั้นแหละ คุณที่คิดจะทำนั้นแหละไม่ใช่เขาคนที่ต้านคุณอยู่ คุณจะต้องทำให้เขาเห็นว่าคุณประสบความสำเร็จเดี๋ยวคุณก็ชนะทุกข้อโต้แย้ง และในธุรกิจเครือข่ายเมื่อคู่สามีภรรยาสร้างธุรกิจร่วมกันมันไม่ใช่แค่ 1+1 = 2 แต่มันคือ 1+1 = มากกว่านั้น

คำถามที่ 6 การต่อตรงกับบริษัทจะดีกว่า การถูกอุปถัมภ์โดยคนอื่นหรือเปล่า

คำตอบก็คือ ไม่เลยครับ

การที่จะต่อตรงกับบริษัทไม่ดีเลยครับ ถ้าท่านเห็นว่าฉันเป็นคนแรกเลยฉันดีนะ

จริงๆแล้วไม่ดีเลย สาเหตุคือ ยิ่งมีผู้จำหน่ายอยู่ระหว่างคุณกับบริษัทมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

ไม่ดีเหรอที่มีคนสนับสนุนท่านมากแทบไม่จำกัดเลย อัพไลน์ท่านมีเป็น 10 ชั้น คนที่ 1 ช่วยไม่ได้ก็ไปคนที่ 2 คนที่ 2 ช่วยไม่ได้ไปหาคนที่ 3, 4

ท่านคิดว่าทำธุรกิจไม่มีความท้าทาย ไม่มีปัญหาเกิดขึ้นหรอ ท่านคิดว่าท่านไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนท่านคิดหนทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องได้เลยหรอ

ไม่ต้องลองผิด ลองถูกอย่างเดียว ทำได้จริงหรอ ทุกๆคนที่อยู่เหนือคุณเขาพร้อมให้ความช่วยเหลือในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ

คำถามที่ 7 ผมต้องทำงานร่วมกับทีมงานลงไปลึกแค่ไหน

คำตอบก็คือ ยิ่งลึกเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น

ผู้จำหน่ายหลายคนครับไม่ทำงานลึกลงไปกว่าระดับชั้นการจ่ายเงินของบริษัท ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง

ยังจำใน บทที่ 9  ที่ผมแบ่งปันได้ไหมครับว่า เมื่อท่านทำงานลึกลงไปกว่าระดับชั้นการจ่ายเงินที่ท่านจะได้ ท่านกำลังเพิ่มความร้อน เพิ่มอุณหภูมิ ให้กับสายงานทั้งสายของท่านให้กับผู้จำหน่ายตั้งแต่ชั้นที่ท่านลงไปช่วยจนถึงชั้นบนเลย แล้วทุกๆชั้นที่โดนอุณหภูมิความร้อนก็จะมีผลต่อรายได้ที่มากขึ้นของเขาด้วย

คำถามที่ 8 ผมจะเลือกบริษัทเครือข่ายได้อย่างไร

ข้อเท็จจริงของมันก็คือ คนส่วนมากมิได้เลือกบริษัทแรกของเขาด้วยตัวเอง

แต่ใครบางคนที่เป็นผู้จำหน่ายอยู่แล้วเป็นคนเลือกเขา ควรทำงานให้กับบริษัทเดียว อย่าเป็นผู้จำหน่ายของหลายบริษัทในขณะเดียวกัน

(อ่านบทความ 7 ขั้นตอนในการเลือกบริษัทเครือข่ายที่ใช่)

คำถามที่ 9 ผมไม่มีเวลา

เราจะตอบเขาว่าไม่มีเวลาเหรอ ไม่ใช่ปัญหาเลยครับ สบายมาก คือ คุณสมชายมันมี 4 องค์ประกอบในการรับสมัครสมาชิก หรือ การสปอนเซอร์คนเข้าร่วมธุรกิจ คือ

  1. รายชื่อ
  2. เวลา
  3. การลงมือทำ ใส่พลังงานลงไป
  4. ความรู้

นี่คือ 4 องค์ประกอบ ถ้าผมกำลังจะสปอนเซอร์คนที่ยุ่งมากๆ เหมือนอย่างคุณสมชาย ผมอาจจะพูดง่ายๆว่า ถ้าคุณยุ่งมากผมจะไม่ขอเวลาคุณครับ คุณไม่ต้องใช้เวลาเยอะเลย คุณใช้เวลาวันละ 5 นาทีเท่านั้น

ผมขอแค่รายชื่อจากคุณ คุณช่วยนำแนวคิดเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายไปเล่า ไปบอกเพื่อนๆของคุณและถ้าเขาสนใจให้ติดต่อมาหาผม

คำถามที่ 10 การหาสมาชิก (Recruiting) กับ การอุปถัมภ์ (Sponsoring) ต่างกันอย่างไร

การหาสมาชิกก็คือ

เมื่อท่านพาใครบางคนเข้าสู่ธุรกิจโดยที่เขานั้นมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจเครือข่ายมาก่อนอยู่แล้วนั้นคือการหาสมาชิก

เพราะคนที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว สอนนิดเดียว เดี๋ยวเขาทำเป็นหมดเลย

แต่การอุปถัมภ์นั้นคือ

การพาใครบางคนที่ไม่เคยรู้จักธุรกิจเครือข่ายมาก่อนเลยเข้าสู่ธุรกิจ แล้วคุณจะให้คำมั่นสัญญากับเขาว่าจะสอนเขาและช่วยเหลือเขา จนกว่าเขาจะรู้ทุกอย่างและสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย 

เหมือนอย่างที่ผมกำลังทำอยู่ คุณอาจสร้างองค์กรได้เร็วมากมาจากการหาสมาชิกแต่คุณจะสร้างองค์กรที่แข็งแกร่ง เติบโตแข็งแรงและยั่งยืนได้ด้วยการ อุปถัมภ์ หรือ Sponsoring เท่านั้น

คำถามที่ 11 ผู้อุปถัมภ์โดยตรงของผมไม่ช่วยผมเลย จะทำอย่างไรดี

ให้ตอบแบบนี้ครับว่า

ให้คุณติดต่อกับคนข้างบนของคุณสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะพบคนที่อยากจะช่วยคุณ

ก็คืออัพไลน์ระดับสูงขึ้นไปนั้นแหละ จนกว่าคุณจะพบคนที่พร้อมจะช่วยคุณ

เมื่อเขาพร้อมที่จะช่วยคุณ คุณก็ทำงานกับเขา สุดท้ายคนที่สปอนเซอร์คุณโดยตรงก็จะออกจากระบบไปอยู่ดี เขาอาจจะเลิก อัพไลน์เลิกทำเป็นเรื่องธรรมชาติ

คุณก็เลื่อนขึ้นมากับคนที่เขาอยากช่วยคุณแล้วก็ทำงานกับคนนั้นไปเลย

คำถามที่ 12 การประชุมสำคัญแค่ไหน

ผมบอกเลยครับการประชุมสำคัญมาก

ระดับ 8-10 เคยได้ยินคำนี้ไหมครับ

No meeting  No business

แล้วยิ่งถ้าท่านไม่เอากองไฟมาสุมรวมกันย่อมไม่เกิดกองเพลิงใหญ่ๆ ไม่เอาท่อนฟืนเปียกน้ำมาอยู่กับพวกท่อนฟืนที่ติดไฟ ท่อนฟืนเปียกน้ำจะโตเหรอ

เพราะฉะนั้นคนที่ฉลาดที่สุดในการสร้างธุรกิจเครือข่าย เขาจะตื่นเต้นมากๆ เลยว่างานสัมมนาครั้งต่อไปจะมีเมื่อไหร่

เพราะเขารู้และเข้าใจว่า วิธีการทำซ้ำที่ง่ายที่สุดในธุรกิจเครือข่ายที่ทุกคนทำได้คือ การพาตัวเองและทีมงานของเขาเข้างานประชุมครับ

ไม่ต้องใช้ความรู้ ไม่ต้องใช้ทักษะ ไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรเท่าไหร่เลยเห็นภาพไหนครับ

และยังฉลาดไปกว่านั้นอีกเพราะในงานอีเว้นใหญ่ๆ ในงานประชุมใหญ่ๆจะมีผู้ที่ประสบความสำเร็จมาเล่าเรื่องราว มาสอนวิธีการมาเล่าสร้างแรงบันดาลใจ ทำให้คนนั้นไฟลุก เพราะเมื่อมีแรงบันดาลใจ ใจจะบันดาลแรง

ถ้าเนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่าน เราอยากทราบว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร เขียนความเห็นที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ท่านสามารถช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้คนได้โดยการแชร์บทความนี้ออกไปเยอะๆ นะครับ

แด่ความสำเร็จของท่าน

วิธีการฝึกสอนนักธุรกิจใหม่ และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ค

วิธีการฝึกสอนนักธุรกิจใหม่ และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ค

ถ้าท่านไม่ต้องการเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธและล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจเครือข่ายของท่านอีกต่อไป และต้องการรู้วิธีดึงดูดผู้คนให้เข้ามาขอสมัครทำธุรกิจกับท่านเอง คลิกที่นี่

วันนี้ผมจะแบ่งปันสุดยอดวิชาที่มาถึงตอนที่ 13 -14 ถ้าท่านยังไม่เคยได้ดูในตอนก่อนหน้านี้ผมบอกเลยว่าท่านจะต้องดูให้ได้ แต่ตอนนี้ ดูตอนนี้ก่อน เพราะมันจะเชื่อมโยงกันหมดเลย

วันนี้ท่านจะได้เรียนรู้ วิธีสร้างองค์ธุรกิจเครือข่ายให้มีขนาดใหญ่และประสบความสำเร็จ

วีดีโอ “วิธีการฝึกสอนนักธุรกิจใหม่ และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ค”

หนังสือเสียง “วิธีการฝึกสอนนักธุรกิจใหม่ และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ค”

สารบัญเนื้อหาวีดีโอ “วิธีการฝึกสอนนักธุรกิจใหม่ และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ค”หนังสือเสียง “วิธีการฝึกสอนนักธุรกิจใหม่ และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ค”บทที่ 13 เล่นกับตัวเลขเพื่อทำคะแนนบทที่ 14 วิธีสอนคนใหม่และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ควิธีจัดประชุมเสนอโอกาสธุรกิจให้ตื่นเต้นทรงพลังเทคนิคการนำเสนอ 20 นาที

บทความนี้เป็นตอนที่ 6 แล้ว ย้อนกลับไปดูตอนผ่านมาได้จากที่นี่

บทที่ 13 เล่นกับตัวเลขเพื่อทำคะแนน

โดยที่ตอนที่ 13 นี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องของการ เล่นกับตัวเลขเพื่อทำคะแนน

เมื่อท่านสปอนเซอร์คนได้แล้ว เริ่มสอนคนของท่านให้ทำธุรกิจไปแล้ว แล้วเขาเปลี่ยนสภาพจากการเป็นเรือว่างเปล่า มาเป็นเรือเงิน แล้วมาเป็นเรือทอง

ก็คือ คนที่กระตือรือร้น รู้วิธีการทำธุรกิจเครือข่ายได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องการพึ่งอัพไลน์อีกแล้ว เขาทำของเขาได้เอง สร้างองค์กรได้เอง

ถ้าหนึ่งในทีมงานของท่านเป็นเรือทอง คำถามสำคัญคือ ท่านจะว่างพอที่จะไปช่วยเหลือคนใหม่ๆ และสร้างสายงานใหม่อีกครั้งแล้วใช่ไหม?

แน่นอนเมื่อทีมงานท่านสายนี้โตแล้ว ท่านก็ว่าง ท่านสามารถไปสร้างทีมงานใหม่ได้อีกนี่คือความสุดยอดของธุรกิจเครือข่าย ไม่ใช่ว่าทิ้งนะ เขาทำเป็นแล้ว เขาโตแล้ว ไม่ต้องการเราแล้ว

เราสร้างสายใหม่ ๆ ไปอีก ถ้าเราเข้าใจหลักการพลังทวีของธุรกิจเครือข่ายเราสามารถร่ำรวยได้ภายใน 1-1.5 ปี ไม่เกิน 3 ปี

คราวนี้คำว่าสายงานนั้น หมายถึงว่าท่านนั้นมีทีมงานลึกลงไปแล้วอย่างน้อย 3 ชั้น นั่นหมายถึงว่าตัวท่านก็เป็นเรือทอง เพราะท่านเข้ามาท่านตั้งใจเรียนรู้ทำธุรกิจแล้วท่านก็ปล่อยเรือทองแบบที่ท่านเห็นในรูปนี้ ปล่อยเรือทอง เรือเล็กออกไป เขาออกไปปล่อยเรือของเขาอีก

เพราะฉะนั้นหมายความว่าท่านจะต้องมีทีมงานลึกแล้วอย่างน้อย 3 ชั้น

ก็คือมีตัวท่าน  มี ทอม ซึ่งท่านนั้นสอน ทอม ให้รู้จักวิธีการสอน แครอล ให้สปอนเซอร์ เบทตี้ ได้ เมื่อท่านมีทีมงานสักปริมาณหนึ่งแล้ว แทนที่ท่านจะคิดว่าท่านจะหาใครเข้ามาร่วมธุรกิจอีกดี จะสปอนเซอร์คนใหม่อีกดีไหม

ผมบอกเลยว่าไม่ควร ท่านควรใช้เวลาร่วมกับใครบางคนที่เอาจริงแล้วก็เห็นโอกาสจะเกษียรเร็วในบรรดาที่อยู่ใต้ 5 คนเอาจริงของท่าน

ผมหมายความว่าเมื่อท่านมี 5 คนเอาจริงแล้วให้เรามองลงไปใต้ 5 คนที่เอาจริงของเรามีใครอีกไหมที่เขาเป็นเรือทองลงไปทำกับเขา

ท่านรู้วิธีการกระตุ้นขึ้นแล้ว แรงกระตุ้นขึ้นนั้นคือ ถ้ามีใครสักคนด้านล่างกำลังทำอะไรบางสิ่ง บางอย่าง คนข้างบน จะตั้งใจทำอะไรหลายอย่างมากเลย เพราะฉะนั้นท่านต้องทำงานให้ฉลาด

เพราะฉะนั้นมองลงไปข้างล่างครับ ใครเอาจริงลงไปทำงานกับเขา เพราะการที่ท่านพบใครบางคนที่เห็นโอกาสเหมือนกับท่านมันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากนะครับท่านจะมีพลังมหาศาลเมื่อท่านเข้าใจและก็มีความเชื่อในธุรกิจเครือข่าย

สมมุติอย่างนี้ครับว่า ท่านมีทีมงานติดตัวคนที่ 6 เพิ่มขึ้นเพราะว่าใครบางคนของท่านไม่ต้องการท่านอีก จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีสายงานเกิดขึ้น ไม่ว่าท่านจะลงไปทำลึกใต้สายงานของท่านแบบรูปที่ผมกำลังแชร์อยุ่ตรงนี้ หรือว่าท่านสร้างสายงานใหม่

ผมจะให้ดูรูปนะครับ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบนี้ เลข 5 กับ เลข 6 นั้นจริงๆแล้วต่างกันแค่ 1 หน่วยเท่านั้น ถูกไหมครับเดี๋ยวเราลองคำนวณลงไปในทางลึกดู

ถ้าหากทุกคนที่ติดตัวท่านสามารถหาทีมงานติดตัวคนใหม่ของเขาเองได้ แล้วคนบางคนของเขาไม่ต้องการความช่วยเหลืออีกแล้ว จะเป็นยังไง

6×6 = 36 ท่านที่มี 5 กับมี 6 ดูความแตกต่าง ในขณะที่ 5×5 = 25 ท่านจะเห็นว่า 25 กับ 36 ต่างกัน 11 แล้วลองคำนวณในทีมชั้นลึกอีกชั้นดูว่า 25 x 5 = 125

หมายความว่าถ้าท่านทำงานกับ 25 คนติดตัว แล้วเขาขยายได้คนละ 5 ลึกลงไปชั้นที่ 3 ท่านจะมีคนในชั้นที่ 3 125 คน แต่ถ้าท่านขยายเพิ่มอีก 1 สาย แล้วก็ลึกลงไปอีก ลึกลงไป 3 ชั้น ท่านจะมีคนในชั้นที่ 3 216 คน

ซึ่งถ้าท่านลบเลขไม่ผิดท่านจะเห็นเลยว่า 216 มันต่างกับ 125 ถึง 91 คน ต่างกันเยอะเลยนะครับแค่ทุกคนทำเพิ่มอีก 1

ตอนที่ท่านนำเรื่องนี้ไปสอนทีมงานของท่าน ท่านจะได้รูปประกอบอย่างที่ผมโชว์ตรงนี้ เขียนให้เขาเห็นภาพแล้วก็ให้ท่านคูณตัวเลขลงไปอีกจนถึงชั้นที่ 7 

ท่านจะได้ภาพประมาณนี้ ท่านจะเห็นเลยว่าถ้าท่านสร้างสายงานแค่ 5 สาย ลึกลงไป 7 ชั้น ท่านจะมีคนในชั้นที่ 7 78,125 คน ผมบอกเลยว่ารวยโคตรๆ

แต่ก่อนจะได้ตรงนั้น เรียนรู้ก่อนนะ เมื่อเรียนรู้จบ ลงมือทำ อย่าเรียนรู้แล้วไม่ทำอะไร เป็นคนแบบเดิมๆ ท่านก็จะได้ผลลัพธ์แบบเดิมๆ เรามาร่วมด้วยช่วยกัน เรียนรู้ ฝึกฝน แล้วสอนคนอื่นต่อให้ได้

หลังจากนั้นให้ท่านถามนักเรียนของท่านให้ลองทายว่าผลต่างในชั้นที่ 7 จะเป็นเท่าไหร่ในสายงานที่มี 6 คน

คำตอบคือ เมื่อลึกลงไป 7 ชั้น จะมีความแตกต่างถึง 201,811 ผมหมายถึงความต่าง ท่านว่า มีธุรกิจไหนอีกที่ดีกว่าธุรกิจเครือข่าย บ้าง ยังไม่บอกคำตอบนะครับ ท่านต้องไปคิดเอาเองว่าเท่าไหร่

ท่านเคยเห็นไหมครับว่าความสำคัญของการทำงานร่วมกับคนของท่านในแนวลึกว่าสำคัญแค่ไหน มีทีมงานต้องสอนเขาเหมือนอย่างที่ผมกำลังสอนท่าน

ให้เขานั้นทำเป็นเพื่อที่ท่านนั้นจะได้ให้เขาเข้าใจ ทำเป็น แล้วสอนคนอื่นต่อในแนวลึก มันจึงจะรวยในธุรกิจเครือข่าย

การคิดว่าจะสปอนเซอร์ใครใหม่ดี โดยที่มีทีมงานแล้วไม่พาลงลึก เท่ากับท่านไม่ได้ตระหนักแล้วก็ไม่รู้ว่าท่านจำเป็นต้องทำอะไรเพื่อความสำเร็จ ท่านต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาว่า ฉันจะต้องทำอะไร สร้างในเชิงลึกว่ามันสำคัญมากๆ

ท่านจะไปกังวลกับการหาทีมงานติดตัวมากๆ ทำไม สปอนเซอร์ใครไม่ได้เลย มี 1 คนก็พาลึกลงไป มี 2 คนก็พาลึกลงไปอีก มีกี่คนก็ช่างพาลึกๆๆ สร้างในแนวลึกลงไป

เพราะต่อให้ท่านมีทีมงาน 10 คน 20 30 คนติดตัว ท่านก็ทำงานร่วมกับเขาไม่ได้อยู่ดี ทำไมไม่ใส่ใจคนที่อยู่ข้างล่าง ให้เขาทำเองเป็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเชิญคนมาดูโอกาส การนำเสนอแบบบุคคลที่ 3 การแบ่งปันสื่อ การอธิบายแผนการตลาด การพาคนสมัครคนใหม่ พาคนสอนคนใหม่

นอกเหนือจากนั้นการอุปถัมภ์คนแบบส่วนตัวมากเกินไป ท่านอาจจะเล่นเกมส์บวก ลบ ตลอดเวลาแต่ผมเสนอให้ท่านเล่นเกมส์แห่งการทวีคูณที่เรียกว่า MLM เกมส์กันดีกว่า

ถ้าท่านเล่นเกมส์นี้ประสบความความสำเร็จท่านจะได้รายได้อย่างที่ผมโชว์ให้ท่านดู แต่ท่านจะต้องทุ่มเทในการเรียนรู้แล้วลงมือทำอย่างจริงจังก่อน

ผมอยากให้ท่านสอนคนที่ติดตัวท่านนะครับว่า เขาจะต้องช่วยทีมงานติดตัวของเขา สร้างสายงานลึกลงไป 3 ชั้น

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าผมชื่อ ก. แล้วผมสปอนเซอร์ อุปถัมภ์นาย ข. เข้ามา ผมจะพูดกับนาย ข. ว่า คุณ ข. เมื่อคุณสปอนเซอร์ใครบางคนเข้ามาขอให้ลงไปทำงานกับเขา แล้วช่วยให้เขาสร้างสายงาน 3 ชั้นลึกให้ได้

คุณค่อยพิจารณาที่จะปล่อยมือเขา การทำเช่นนี้จะเป็นการนำข้อดีของบทที่ 9 ที่เราพูดเรื่องแรงกระตุ้นออกมาใช้ก่อนที่เขาจะรู้ตัวซะอีก

นาย ข. ถ้าเกิดเขาเป็นนักเรียนที่ดีมากๆ เมื่อเขาอุปถัมภ์นาย ค. เขาช่วยให้นายค.ได้สร้างสายงาน 3 ชั้นลึกลงไปได้ท่านก็ควรวาดภาพประกอบด้วย

ซึ่งเมื่อท่านโชว์ให้เขาดูภาพจะเป็นแบบนี้ ลองนับระดับชั้นลึกดูสิครับว่า ท่านมี 5 ชั้นลึกโดยการสอนให้คนของท่านร่วมทำงานกับคนของเขา

เพื่อสร้างสายงานลงไปอีก 3 ชั้นลึก นาย ข. ก็จะทำเช่นเดียวกับท่านและสายงานก็ยิ่งลึกลงไปอีก ทุกท่านเห็นไหมครับว่า ทำไมอาจารย์ถึงประสบความสำเร็จอย่างมากมายในธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่ เซลล์แมน

คนที่วางตัวเป็นผู้สอนเป็นอาจารย์เป็นคนที่ใส่ใจในเรื่องของการพัฒนาคนอื่นให้รู้วิธีการทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

เซลล์แมนส่วนมากเขาเริ่มต้นสร้างธุรกิจ เขาจะคิดว่าธุรกิจนี้ต้องสปอนเซอร์ แล้วก็สปอนเซอร์ๆ ชวนคนๆๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วธุรกิจนี้ต้อง สปอนเซอร์แล้วสอน สอนแล้วสปอนเซอร์

ท่านจะไม่ประสบความสำเร็จอะไรทั้งสิ้นจนกว่าท่านจะสอนให้คนอื่นรู้ว่าจะทำธุรกิจ MLM ให้สำเร็จได้ยังไง แล้วถ้าท่านจะสอนใครได้ท่านต้องมีความรู้ก่อนใช่ไหมครับ

ถ้าท่านทำธุรกิจเครือข่ายมานานแล้วไม่รู้ กี่วัน กี่เดือน กี่ปี แล้วท่านยังสอนในแบบที่ผมสอนยังไม่ได้ ท่านรู้แล้วรึยังว่าเหตุผลอะไรที่ท่านยังไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย

เพราะท่านยังไม่มีความรู้ไปสอนคนอื่นไง เพราะฉะนั้นใครครับที่จะต้องเป็นนักศึกษาที่เหมือนกำลังจะเอ็นทรานต์ เรียนรู้ ฝึกฝน อย่างจริงจัง ในการทำการตลาดเครือข่าย

คำตอบง่ายนิดเดียวเลยครับ ก็คือตัวเรา หรือใครก็แล้วแต่ที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย เรานั้นเองที่จะต้องเรียนรู้อย่างจริงจังก่อน ไม่งั้นเราจะสอนคนอื่นต่อได้ยังไง เห็นด้วยไหมครับ  

เพราะฉะนั้นท่านสามารถนำบทเรียนนี้ไปคุยต่อได้ทันทีจากบทที่ 1 ก็ได้

บทที่ 14 วิธีสอนคนใหม่และวิธีการเปิดโอกาสทางธุรกิจประจำสัปดาห์ที่เวิร์ค

เราจะพูดถึงการฝึกอบรมนักธุรกิจใหม่ของเราในทีมของเรา ซึ่งทุกท่านที่ทำธุรกิจเครือข่าย จะต้องฝึกอบรมคนใหม่อยู่แล้วถูกไหม

ไม่ว่าจะใช้ระบบที่บริษัทท่านมี หรือทีมงานท่านมี หรือ ฝึกด้วยตัวท่านเอง

แล้วท่านจะต้องมีการประชุมเปิดโอกาสทางธุรกิจถูกไหม ถ้าไม่มีการประชุม ก็ไม่เกิดการทำธุรกิจ แต่คนส่วนมากเข้ามาในธุรกิจเครือข่าย เริ่มจากการเข้ามาในงานประชุมเปิดโอกาสประจำสัปดาห์

และด้วยเหตุนี้คนส่วนมากจึงคิดว่าการเข้าประชุมประจำสัปดาห์และการโทรชวนคน การหาคน การเชิญคนเข้ามาในงานประชุมเปิดโอกาสประจำสัปดาห์ คือทุกสิ่งทุกอย่างของธุรกิจเครือข่าย ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่

แต่ไม่มีใครเคยชำแหละ ผ่า วิธีการให้เขาได้รู้เหมือนอย่างที่ผมกำลังแบ่งปันนี้หลังจากที่เขาเชิญเพื่อนๆ ของเค้า คนแล้วคนเล่า มาประชุมการเปิดโอกาส เค้าก็จะเลิกชวนเพราะว่าเค้าชวนมามากพอแล้ว

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะอยู่มาวันหนึ่งไม่มีใครมาเลย เค้าจะเสียกำลังใจ อย่างมากเลยทีเดียวชวนแล้วไม่มีใครมา

งานประชุมเปิดโอกาสโดยทั่วๆไปจะมีลักษณะเป็นอย่างนี้

คือมีห้องหนึ่ง ห้องที่มีเก้าอี้อีกมากมายวางอยู่ แล้วก็มีกระดานไว้บอร์ด หรือมีจอโปรเจคเตอร์อยู่ข้างหน้า เหมือนกับโรงหนัง ซึ่งมักเป็นห้องในบ้าน ของท่าน

เมื่อท่านเชิญแขกมาที่บ้านหรือว่าเป็นห้องในโรงแรมที่ท่านไปเช่า แล้วก็เชิญคนมาดูโอกาสทางธุรกิจ หรือเป็นห้องในบริษัท และที่หน้าห้องก็จะมีคนใส่เสื้อสูทกำลังอธิบายเกี่ยวกับสินค้าผลิตภัณฑ์ และก็แผนการตลาด แล้วก็พูดกันอยู่สามอย่างนี้แหละทุกบริษัทซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่งหรือ 2 ชั่วโมงก็ยังไม่จบอ่ะ

ถ้าสมมุติมีคนมาเข้าร่วมประชุม 22 คน มันจะเป็นผู้จำหน่าย โดยส่วนมากประมาณ 19 คนแล้ว อาจจะมีคนใหม่อยู่ประมาณสองสามคน

แต่ถ้าท่านชวนคนใหม่แล้วเค้าไม่มาใช่ไหม ไม่เป็นไรนะครับมันเป็นเรื่องธรรมชาติมันเป็นธรรมชาติมาก

เรียนต่อพัฒนา ทักษะ และ ทัศนคติ (Mind set) ในการสร้าง ธุรกิจเครือข่ายต่อ ท่านจะไม่จิตตก จิตตกทำไมในเมื่อธุรกิจนี้ถ้าสร้างแล้วสำเร็จสามปีท่านรวยมาก คนที่ทำเฉยแล้วเค้าไม่มาพวกนั้นนอนร้องไห้ครับ

เพราะฉะนั้นอย่าได้แคร์ไว้ท่านชวนใครแล้วเค้าไม่มา ทำต่อไปคนรู้จักหมดแล้วยัง มีระบบออนไลน์อีก กลัวอะไร เรียนรู้ไปสิ ชวนแบบออนไลน์นี้ กมลเวช จะมาแบ่งปันตลอดกดติดตามไว้

เป้าหมายในการบรรยายของวิทยากรนั้นอยู่ที่ผู้มาใหม่ ต้องการโฟกัสคนมาใหม่ แล้วเขากำลังพูดกำลังบรรยายให้คนมาใหม่ฟัง

แต่สถานการณ์จริงเขากำลังพูดให้ 3 คนใน 22 คนฟังเท่านั้น สำหรับผู้จำหน่ายหน้าเก่าที่มาฟังการบรรยายแบบนี้ ฟังครั้งแล้วครั้งเล่า รอบที่ 500 แล้วมั้ง มันคือสิ่งที่น่าเบื่อที่สุด

ท่านจะเห็นเลยเวลาที่ท่านเข้าไปในงานเปิดโอกาสทางธุรกิจ ท่านลองหันไปดูด้านซ้ายด้านขวาด้านหลัง ท่านจะเห็นแต่ละคนก้มหน้ารูดโทรศัพท์ตัวเอง ผมการันตีเป็นทุกงาน มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อมากไม่มีพลังเลยห้องที่เป็นแบบนี้

สุดท้ายเราจะเรียกการประชุมแบบนี้ว่าการประชุมเพลิง และนั่นคือสาเหตุการประชุมเพลิงแบบเดิมๆ มักไม่ค่อยเกิดผลลัพธ์และคนก่อนเลิกเชิญคนเข้างานประชุมถ้ามันมีรูปแบบนั้นรูปแบบเดียวเห็นด้วยมั้ยครับ

ถ้าท่านไม่อยากประชุมเพลิงกันแบบนี้ จนแต่ละท่านนั้นถูกประชุมเพลิงไปหมด ตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังจะแบ่งปันต่อ

หากท่านลองสังเกตพฤติกรรมของผู้ที่มาใหม่ในขณะที่ฟังบรรยาย ท่านจะเห็นปฏิกิริยาตอบรับที่เป็นบวก คนใหม่ก็จะพยักหน้าตามบ้าง มีสีหน้าที่บ่งบอกว่าเข้าใจ อยากรวย สินค้าดี แผนดีสุดยอด

แต่เมื่อการบรรยายจบลงแล้ว ท่านให้เค้าสมัครสมาชิก และก็ไปเริ่มต้น ทำไมคนส่วนมากจึงไม่มั่นใจแล้วก็ยังคงปฏิเสธบางคนอาจจะบอกว่า “ขอคิดดูก่อน”

ไหนเคยใครเป็นแบบนี้บ้าง จริงๆแล้วคำว่าฉันขอกลับบ้านไปคิดดูก่อนมันเป็นการปฏิเสธ คำว่าคิดดูก่อน 99.99% แปลว่า ไม่เอา ไม่ทำ ไม่คิดอะไรทั้งนั้น มันคือข้ออ้างต่อหน้าท่าน มันเป็นข้ออ้างที่ดูดีที่สุด ใครที่พูดว่าขอคิดดูก่อน 99% อ้างทั้งสิ้นเพราะสุดท้ายแล้วเขาก็จะปฏิเสธอยู่ดี

ทำไมมันเป็นแบบนั้น มันดูไม่มีเหตุผลเลยใช่ไหมทำไมล่ะ โชว์บ้าน โชว์รถ โชว์มันสารพัด โอกาสดีๆ เค้าฟังดูแล้วก็เหมือนชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น แต่สุดท้ายก็พูดคำว่า “ไม่” อย่าพูดดังมันเจ็บ คำว่า “ไม่” พูดเบาเบาก็เจ็บ

สาเหตุที่เขาพูดคำว่า “ไม่” นั้นง่ายนิดเดียวครับ. เป็นเพราะว่าเค้ามองไปที่ผู้บรรยายเหมือนกับว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ และเค้าคิดว่าถ้าเค้าอยากสำเร็จเค้าต้องขึ้นไปพูดในที่ประชุมแบบนี้

ในธุรกิจนี้มันต้องประชุม ว่ามันต้องมาที่นี่ และก็ต้องขึ้นพูด อาจจะไม่ใช่ทันทีทันใด แต่เค้าอาจจะต้องจัดประชุมแบบนี้ ในวันใดวันนึง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่คนบางคนกลัว กลัวยิ่งกว่าการกลัวตายอีก

การออกไปพูดหน้าผู้คน ขาสั่นพูดอะไรไม่ออก เขินกันอยู่นั่นแหละ เออ เออ อา อา เคยเป็นไหม มีคนที่เคยเป็นแบบนั้น กลัวมากเค้ากลัวที่สุด ต้องขึ้นไปพูดต่อหน้าผู้คน เหมือนทำให้เป็นเหตุผลใหญ่เหตุผลหนึ่งเลยทีเดียวใน

การที่ทำให้เขาปฏิเสธโอกาสที่ท่านยื่นให้ จริงๆ แล้วท่านต้องทำความเข้าใจก่อนว่าเมื่อเขา say no หรือปฏิเสธ เขาปฏิเสธโอกาสที่ท่านแบ่งปันให้เท่านั้นเค้าไม่ได้ปฏิเสธท่านเป็นการส่วนตัว จงอย่าท้อถอย จงอย่าท้อแท้ อย่าคิดผิด

เขาปฏิเสธโอกาสที่ท่านมอบให้เขา ไม่ได้ปฏิเสธท่าน

เชื่อมไปในจิตใต้สำนึกของท่านว่า ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย แน่นอนท่านต้องเจอกับการโดนปฏิเสธ เป็นเรื่องธรรมชาติมาก ไม่ว่าท่านจะสปอนเซอร์คนให้กับตัวเอง หรือไปสปอนเซอร์คนให้ทีมงานของท่านเขาปฏิเสธโอกาสของเค้า

ท่านเหมือนครู คือคนที่ไปให้สิ่งดีๆ กับผู้คนเพราะฉะนั้นท่านต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าเค้าไม่ได้ปฏิเสธท่าน

ลองสังเกตุดูนะครับหากวิทยากรพูดกลางที่ประชุมว่า เอาละผมมีเวลาจำกัดเดี๋ยวผมจะเปิดโอกาสให้ใครก็ได้คนเดียว ขึ้นมาพูดอะไรก็ได้หน้าห้องซัก 3 นาทีมีท่านไหนอยากพูดบ้างไหมครับ จะมีกี่คนครับที่ยกมือกันในจำนวน 22 คน ผมว่าไม่ถึง 5% ที่ยกมือ หรือ

ท่านเห็นไหมว่าไม่มีใครยกมือเลย นอกจากคนที่เตรียมกันไว้ว่าอยากจะขึ้นไปแชร์ พวกเดียวกันนั่นแหละ เมื่อวิทยากรบอกว่าล้อเล่นไม่ได้เอาจริง ตอนเราเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ท่านดูซิว่าคนกลัวการพูดต่อหน้าคนมากแค่ไหน กลัวดูไม่ดีมากแค่ไหนแม้แต่ท่านเอง เวลาไปงานแบบนี้วิทยากรกำลังจะสุ่มเรียกใครขึ้นมา ท่านจะคิดว่า อย่าชี้ฉันนะ อย่าชี้ฉันนะ เห็นภาพใช่ไหมครับ พอชี้คนอื่นท่านคือโล่งเลยทีเดียว

เพราะฉะนั้นผมรู้จักคนมากมายครับ ที่สามารถพูดได้น้ำไหลไฟดับภัยในวงสนทนาของเพื่อนๆ หรือคนที่เขาสนิทด้วย แต่แทบจะเสียสติเหมือนต้องพูดต่อหน้ากลุ่มคนแบบเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้ทำให้ความประหม่าของคนเหล่านี้ลดลงเลย กลัวมาก ขาสั่นมาก

แล้วในการสร้างองค์กรของท่านท่านจะเลี่ยงปัญหานี้ได้ยังไงคิดออกไหมครับท่านจะทำให้การเปิดโอกาสทางธุรกิจเป็น สิ่งที่น่าตื่นเต้นให้กับผู้คนได้ยังไง

ถ้าใครบรรลุตรงนี้นะครับธุรกิจของเขา ง่ายกว่าเดิมหลายเท่าเลยครับ

เพราะการประชุมเปิดโอกาสแบบนี้จริงๆแล้วมันน่าเบื่อจริงไหมครับ แล้วท่านจะทำให้งานมันตื่นเต้นได้ยังไง ข่าวดีทุกคนสามารถทำได้ ท่านสามารถทำได้ทุกคน

แล้วเมื่อไหร่ที่ท่านรู้ว่าต้องทำอย่างไร องค์กรของท่านจะเติบโตได้อย่างรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าเลย

วิธีจัดประชุมเสนอโอกาสธุรกิจให้ตื่นเต้นทรงพลัง

มาดูกันเลยครับวิธีการเริ่มต้นทำยังไงจัดประชุมเสนอโอกาสธุรกิจยังไงให้ตื่นเต้นทรงพลัง

วิธีการคือท่านนัดพบผู้มุ่งหวังของท่านตัวต่อตัวก่อน หรือนัดเข้ามาในวงสนทนาอันร้อนฉ่าที่เราคุยกันตั้งแต่บทที่ 8 หรือบทที่ 9 ที่เราจะมี การย่างสเต็กเนื้อย่าง

ท่านควรจะนัดเจอกันที่ร้านอาหารกับผู้มุ่งหวังของท่านในขณะที่เค้าไม่ยุ่งมากนัดในวันที่สบายๆ แล้วก็บอกให้แขกของท่านนำเครื่องอัดเสียงมาด้วย ซึ่งในสมัยนี้โทรศัพท์นั่นแหละสามารถอัดเสียงได้อยู่แล้ว

เพื่อที่เขาจะได้นำไปฟังทบทวนอีกครั้งหรือใช้เป็นอุปกรณ์ในการสปอนเซอร์ เพื่อนของเค้าต่อไป

เพราะฉะนั้นเวลาสปอนเซอร์คนต่อจากนี้ไปให้เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วให้เค้าอัดในสิ่งที่ฉันพูดกับเขา มีเสียงการบรรยายของท่านอยู่ในโทรศัพท์ของเค้าเลย เค้าแค่ส่งไฟล์เสียงไปให้เพื่อนเค้าฟัง โอ้โหฉลาดไหมล่ะครับ

นี่เป็นแค่หนึ่งในหลายหลายทาง ที่ทำให้ผู้มุ่งหวังมีเครื่องมือในการออกไปทำงานทันที ถ้าเกิดเค้าตัดสินใจสมัครทำธุรกิจขึ้นมาแล้วจะดีมากเลยครับ

ถ้าหากท่านให้ผู้มุ่งหวังของท่านได้อ่านหนังสือการนำเสนอ 45 วินาทีที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณเสียก่อนสี่บทแรก ก่อนจะมาพบท่านเพราะว่าท่านจะประหยัดเวลาที่แบบมีค่ามากๆ ของทุกคนเป็นอย่างมาก ถ้าเขาทราบแล้วว่าเค้าจะขับรถยังไงในบทที่สี่ คือบทที่พูดถึงสี่สิ่งจำเป็นต้องทำในธุรกิจเครือข่าย

ก่อนที่จะมาพบกับท่านการนำเสนอพาหนะ บริษัท สินค้าและแผนการตลาด ก็จะง่ายมากขึ้นหลายเท่าเลยครับ

เพราะฉะนั้นท่านต้องใช้เครื่องมือให้เป็น ให้เค้าดูคลิป ให้เค้าอ่านหนังสือ ให้เค้าฟังคลิปเสียง ให้เค้าดูวิดีโอของผม สี่บทแรก ก่อนยังได้เลย 

เขาจะเข้าใจธุรกิจเครือข่ายแบบเห็นภาพ ด้วยความตื่นเต้น ไม่ต้องอธิบายกันอีก

คราวนี้ หลังจากท่านพูดคุย ถึงแนวแนวคิดศักยภาพของธุรกิจเครือข่าย คือสี่สิ่งที่ต้องทำที่

ท่านสามารถหาได้ เอาเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ให้เค้าอ่านแล้วเขาได้อ่านเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านบอกเค้าไปว่าท่านจะใช้เวลาแค่ 20 นาทีในการนำเสนอ บริษัท สินค้า และแผนรายได้เห็นไหมนัดกินข้าวทานข้าวเสร็จแล้ว คุย 20 นาทีเท่านั้น เพราะเค้าอ่านหนังสือมาแล้ว เค้าดูคลิปมาแล้ว เค้าฟังมาแล้วไม่งั้นก็ต้องนั่งกันชั่วโมงครึ่งถึง 2 ชั่วโมง

ต้องใช้เครื่องมือให้เป็นเมื่อเราบอกไปแล้วว่า 20 นาทีแปลว่าไม่ยากเกินไปใช่ไหมที่ใครๆ ก็สามารถที่จะเรียนรู้นำเสนอ ภายใน 20 นาทีเหมือนกับที่ท่านทำได้ผู้มุ่งหวังก็รู้สึกว่ามันคุยง่าย 20 นาทีเองหรอ

ตัวของทีมงานเราเองที่มานั่งฟังด้วยก็รู้สึกดีว่ามันง่าย ภายใน 20 นาทีเองเหรอเห็นพูดในห้อง 1 ชั่วโมง 1 ชั่วโมงครึ่ง 2 ชั่วโมงยังไม่เห็นมีใครสมัครเลยเห็นไหมว่ามันไม่ยากถ้าเราทำให้มันง่ายสิ่งแวดล้อมง่ายการทำง่ายคนก็จะรู้สึก ว่าง่าย

หากผู้จำหน่ายของท่าน ยังใหม่มากแล้วนำเสนอแบบท่านไม่ได้เค้าอาจจะใช้วิธีการอัดเสียงแล้วไปเปิดให้เพื่อนๆ ของเขาฟัง อีกก็ได้

คือแทนที่จะให้ผู้มุ่งหวังที่มานั่งกับเราฟังแล้วอัดเสียงคนเดียวให้คนของท่านที่นั่งอยู่ด้วยกันอัดด้วย เป็นไงล่ะครับพูดครั้งเดียวระบบ OFFLINE ได้ผลหลายคน ถ้าในวงนั้นมี 4 คนแล้วเป็นผู้มุ่งหวังหนึ่งคน แล้วมีทีมงานของท่านอีกสามคน

ท่านพูดรอบเดียวได้ผลสี่เท่า นี่เค้าเรียกว่าพลังทวี ฉลาดไหมครับวิธีการนี้สุดยอดไหมครับง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนทุกคนทำได้แต่ยังไม่เคยมีใครแนะนำให้ท่านทำ ถูกไหมครับ มีการประชุมที่ไหนมีการอัดเสียงที่นั่น

มีการประชุมพูดคุยกันเรื่ององค์กรโอกาสทางธุรกิจเรื่องของการแบ่งปัน 20 นาทีที่ไหนอัดเสียงที่นั่นแล้วเปิดให้ทีมงานฟังส่งคลิปให้ฟังไม่ต้องเชิญอับไลน์ (UPLINE) ให้ไปอธิบายเอง เอาสไลด์ไปดูด้วยถ่ายคลิปยังได้เลย ถ้าเค้าอนุญาต

ถ้าท่านต้องใช้เวลาถึงชั่วโมงหรือชั่วโมงครึ่งในการนำเสนอแผนงานของท่านแล้วละก็ ท่านจะมีปัญหาในการหาคนมาฟังท่านพูด แต่ถ้าท่านสามารถพูดให้จบภายใน 20 นาที ท่านสามารถคุยในเวลาพักเบรคดื่มกาแฟ หรือ สามารถคุยกับคนได้ถึงสองสามคนในช่วงเวลาอาหารเที่ยง เพราะฉะนั้นผมเลยอยากจะแบ่งปันเวลา 20 นาทีออกเป็นแบบนี้

เทคนิคการนำเสนอ 20 นาที

เทคนิคการนำเสนอ ภายใน 20 นาที

  • 3 นาทีพูดถึงบริษัท
  • 7 นาทีพูดถึงผลิตภัณฑ์และให้เขาได้ทดลองใช้ ท่านต้องมีผลิตภัณฑ์ติดท้ายรถไปด้วยไม่ว่าท่านจะไปที่ไหนเวลาไปคุยโอกาสทางธุรกิจกับใครท่านต้องให้เค้าทดลองใช้ผลิตภัณฑ์เค้าอาจจะไม่สมัครทำธุรกิจกับท่านด้วยแต่เค้าอาจจะกลายเป็นลูกค้าของท่าน
  • 10 นาทีพูดถึงแผนรายได้

รวมแล้ว 20 นาทีเท่านั้นเห็นไหมครับหากแผนรายได้ส่วนไหนที่ละเอียดและซับซ้อนเกินไปไม่ต้องพูดถึงตอนนั้นก็ได้นะครับท่านสามารถให้เค้าสมัครก่อนฟังจบ

แล้วสมัครแล้วก็เริ่มต้นได้เลยอย่าลืมนะครับว่า เค้าต้องให้คำมั่นว่าจะกลับไปโรงเรียนสัปดาห์ละ 5 ถึง 10 ชั่วโมง เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจที่เรากำลังจะเริ่มต้นทำกัน ท่านไม่จำเป็นต้องสอนทุกอย่างที่ต้องใช้เวลาในการเรียนถึงหกเดือนภายในการนำเสนอครั้งแรก

แล้วต้องพูดให้เขาเข้าใจด้วยว่าเขาไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างในวันนี้ ก็แค่สมัครเริ่มต้นแล้วเดี๋ยวเรามาเรียนกันหกเดือนแรกเพราะฉะนั้นคำสองคำที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจเครือข่าย ก็คือคำว่า

  1. อุปถัมภ์ (Sponsor)
  2. สอน (Teach)

และคำที่มีความสำคัญน้อยที่สุดก็คือคำว่า “ขาย” เป็นคำที่มีความสำคัญน้อยที่สุดในธุรกิจเครือข่าย

สังเกตผมพูดมาบทที่ 14 แล้วไม่ได้พูดเรื่องการขายเลย แต่ผมถามหน่อยทุกวันนี้ในธุรกิจเครือข่ายที่ท่านทำอยู่ ผู้แนะนำของท่านก็พูดถึงยอดขาย และอาจพูดให้ท่านออกไปขาย หรือแม้แต่ตัวท่านเองก็ยังเข้าใจว่าธุรกิจเครือข่ายต้องโฟกัสในการขาย ต้องมองหานักขายเก่งๆ แล้วท่านก็ต้องออกไปขาย ใช่หรือไม่

บริษัทท่านมีรางวัลยอดนักขาย บริษัทท่านพูดถึงเรื่องของการขายเก่ง ขายเป็น ขายดี ขายตรงชอบพูดคำว่าขายตรง ชื่นชมคนขายได้เยอะ แต่หารู้ไม่ว่าการที่เราโฟกัสสิ่งเหล่านั้น และยกย่องคำว่าขาย ให้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในธุรกิจนั้น เป็นการไล่คนออกจากธุรกิจได้ง่ายที่สุด และทรงพลังที่สุด

เพราะคนในโลกนี้ไม่ว่าจะมีกี่คนก็ตามสมมุติว่ามี 6,000,000,000 คนในโลกนี้ 85% ไม่ชอบ การขายครับจะมีอยู่ 15% เท่านั้นที่ชอบการขาย แล้วถ้าท่านสร้างธุรกิจที่มันพูดถึงเรื่องการขายๆๆๆ ออกไปขาย เธอต้องขาย ฉันต้องขาย ทีมต้องขาย แล้วต้องมียอดขาย บริษัทสนับสนุนนักขาย

บริษัทท่านจะดึงดูดได้แค่คน 15% เท่านั้น ท่านเห็นไหมครับว่า คนไม่เข้าใจธุรกิจเครือข่าย คือมันไม่ได้มีแต่พวกเริ่มต้นใหม่ๆ มันไปถึงเจ้าของบริษัทเครือข่ายยังไม่เข้าใจ เจ้าของบริษัทธุรกิจเครือข่ายบางบริษัทยังไม่เข้าใจ และสงสัยว่าทำไมบริษัทฉันถึงไม่โตสักที ทำไมมีแต่ยอดนักขาย แต่ทำไมนักสร้างหรือนักขยาย นักบริโภค อะไรพวกนี้ถึงมีเยอะเหลือเกินผู้บริโภคเยอะเหลือเกินนักขยายยิ่งน้อย

เพราะนักขยายบางที ก็ไม่ชอบขาย เพราะเขารู้จักคนที่อยากจะเอาจริงแล้วก็ไม่ชอบขายด้วย ถ้าท่านสอนให้คนที่ไม่ชอบขายไปชวนคนไม่ชอบขาย องค์กรท่านจะโตได้ยังไง นี่ไงครับจบไหมล่ะครับ

ทุกคนไม่ชอบถูกขายแต่ทุกคนชอบซื้อ

วิธีการนับจากนี้ไปให้ลืมคำว่าขาย คำว่าขายเป็นคำที่อยู่สุดท้ายในพจนานุกรมของธุรกิจเครือข่าย คำว่าขายจริงๆ ควรถูกแทนที่ด้วยคำว่า แบ่งปัน

เราแบ่งปันผลิตภัณฑ์ให้ ให้เพื่อน ญาติ พ่อแม่ แบ่งปันให้เค้าลองใช้ดูถ้าใช้แล้วชอบเค้าจะหาซื้อได้ที่ไหน ก็ที่เราไง แค่นั้นเองแบ่งปัน ไม่ใช่ออกไปขาย

ถ้าท่านเริ่มขายให้ใครปุ๊บเค้าจะหนีทันเลยเพราะคนไม่ชอบถูกขาย ท่านจะขายได้รอบเดียวสองรอบเท่านั้นสุดท้ายคนไม่รับโทรศัพท์ไม่ ซื้อซ้ำแล้ว ท่านจงทำให้เป็นเรื่องง่าย

ถ้าเนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่าน เราอยากทราบว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร เขียนความเห็นที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ท่านสามารถช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้คนได้โดยการแชร์บทความนี้ออกไปเยอะๆ นะครับ

แด่ความสำเร็จของท่าน

วิธีเรียนรู้ธุรกิจเครือข่าย MLM แค่ 6 เดือน แล้วสร้าง Passive Income ที่มีรายได้ 6 หลัก!

วิธีเรียนรู้ธุรกิจเครือข่าย MLM แค่ 6 เดือน แล้วสร้าง Passive Income ที่มีรายได้ 6 หลัก!

ถ้าท่านไม่ต้องการเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธและล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจเครือข่ายของท่านอีกต่อไป และต้องการรู้วิธีดึงดูดผู้คนให้เข้ามาขอสมัครทำธุรกิจกับท่านเอง คลิกที่นี่

วันนี้ทุกท่านจะได้เรียนรู้สุดยอดเคล็ดลับวิชาวิธีการในการสร้างธุรกิจเครือข่ายให้มีองค์กรขนาดใหญ่และประสบความสำเร็จ

วันนี้เป็นซีรี่ย์ที่ผมถ่ายทอดมาตั้งแต่บทที่ 1 2 3 ถึง 10 วันนี้เราจะเริ่มต้นกันในบทที่ 11 ที่ใครก็ตามที่ได้เรียนรู้จากผมมาตั้งแต่บทแรก ว่าธุรกิจเครือข่ายคืออะไรและอะไรที่ไม่ใช่จนมาถึงวันนี้

เขาจะต้องมีทัศนคติที่สุดยอดเขาจะต้องรู้ครับว่า จะต้องทำธุรกิจอย่างไรให้เกิดผลลัพธ์ตั้งแต่ในช่วงเริ่มต้น เขาจะต้องรู้ครับว่าเขาจะต้องเรียนรู้เป็นเวลานานเท่าไหร่

วีดีโอ “วิธีเรียนรู้ธุรกิจเครือข่าย MLM แค่ 6 เดือน แล้วสร้าง Passive Income ที่มีรายได้ 6 หลัก!”

หนังสือเสียง “วิธีเรียนรู้ธุรกิจเครือข่าย MLM แค่ 6 เดือน แล้วสร้าง Passive Income ที่มีรายได้ 6 หลัก!”

สารบัญเนื้อหาวีดีโอ “วิธีเรียนรู้ธุรกิจเครือข่าย MLM แค่ 6 เดือน แล้วสร้าง Passive Income ที่มีรายได้ 6 หลัก!”หนังสือเสียง “วิธีเรียนรู้ธุรกิจเครือข่าย MLM แค่ 6 เดือน แล้วสร้าง Passive Income ที่มีรายได้ 6 หลัก!”บทที่ 11 ห้าเหลี่ยมแห่งการเติบโตบทที่ 12 กลับไปโรงเรียน

ตอนนี้เป็นตอนที่ 5 แล้ว ย้อนกลับไปดูตอนผ่านมาได้จากที่นี่

บทที่ 11 ห้าเหลี่ยมแห่งการเติบโต

เรามาดูกันใน ตอนที่ 11 ห้าเหลี่ยมแห่งการเติบโต

ถ้าทุกท่านนั้นได้ติดตามในสิ่งที่ผมแบ่งปันมาตลอดนั้น ท่านจะเห็นเลยครับว่าในบทเรียนของการสร้างธุรกิจเครือข่ายนั้น เลขห้านั้นสำคัญที่สุด เพราะเลขห้าเป็นเลขที่อัศจรรย์มากๆในธุรกิจเครือข่าย

โดยในบทนี้จะเกี่ยวข้องกับคณิตศาสตร์ง่ายๆ สนุกๆ ที่คนไม่เก่งคณิตศาสตร์ก็สามารถเข้าใจได้

ซึ่งบทเรียนนี้จะสามารถใช้เป็นแรงกระตุ้นตัวเองได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่ท่านไปสอนใครบางคนก็เหมือนที่ผมกำลังจะแบ่งปันให้กับทุกท่าน มันจะกระตุ้นผมอย่างมาก และท่านที่ฟังข้อมูลนี้อยู่ก็จะรู้สึกว่าตัวเองโดนกระตุ้นด้วย

เพราะว่าท่านเห็นความเป็นไปได้ในธุรกิจเครือข่ายอย่างที่ธุรกิจอื่นไม่มี

จะขายของออนไลน์ จะเทพอินเตอร์เน็ตมาร์เก็ตติ้งอะไรก็แล้วแต่ พวกนั้นไม่เข้าใจธุรกิจเครือข่าย ไม่เข้าใจพลังทวีของจำนวนคนมากๆ ที่อยู่ในองค์กรที่ท่านต้องกินเอง ทำเอง ขายเอง เหนื่อยเองตลอดชีวิตต่อให้ระบบออนไลน์ก็เถอะสู้ธุรกิจเครือข่ายได้ไหม เพราะมันได้เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนด้วย

วันนี้เราจะมาดูห้าเหลี่ยมแห่งการเติบโตจะแสดงให้ท่านได้เห็นครับว่าองค์กรของท่านจะโตเร็วแค่ไหน หากท่านได้นำหลักการทั้งหมดที่ผมได้แบ่งปันมาแล้วทั้งหมด 10 บทแรกนั้น เอาไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

คีย์เวิร์ด คือท่านได้เรียนไปแล้ว 10 บทท่านต้องไปเรียนแล้วก็ลงมือทำแต่ละบทอย่างจริงจังเคร่งครัดท่านจะเห็นผลลัพธ์ในบทที่ 11 นี่แหละ

ในบทนี้นะครับเราจะเริ่มบทเรียนจากการวาดรูปห้าเหลี่ยมขึ้นมาหนึ่งรูปสมมุติว่าเรากำลังพรีเซนต์ให้กับทีมงานของเราหรือว่าคนที่เรากำลังสปอนเซอร์อยู่ให้เขาได้เห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจเครือข่าย

โดยมีคำว่าคุณอยู่ตรงกลาง แล้วเราจะบันทึกการเติบโตขององค์กรที่เราสร้างรอบๆ รูปภาพ ห้าเหลี่ยมนี้

เราจะบันทึกการเติบโตโดยวัดผลทีละสองเดือนโดยที่อาจจะใช้ระยะเวลาตรงนี้ยาวหรือสั้นกว่านี้ก็ได้แล้วแต่ความสะดวกเลย บางคนนั้นเป็นคนสีแดงจริงจังโฟกัส ไม่ใช่โฟกัสแต่พูดอย่างเดียว แต่โฟกัสในการเรียนรู้และลงมือทำอย่างสม่ำเสมอด้วยเค้าก็จะแบบได้ตรงนี้เร็ว

บางคนอาจจะช้าโฟกัสน้อยยุ่งกับอย่างอื่นมากกว่าที่มันไม่ได้สร้างผลลัพธ์มาก ไม่เป็นไรให้เขาได้เรียนรู้ในความช้าตรงนั้นเมื่อเขาพร้อมเมื่อไหร่เขาก็สามารถประสบความสำเร็จได้เช่นกัน

เริ่มต้นที่เดือนที่หนึ่งเป็นเดือนแห่งการฝึกอบรมของท่านในธุรกิจเครือข่ายนี้นะครับ คนส่วนมากนั้นใช้เวลาหนึ่งเดือนแรก เป็นการฝึกอบรม เรียนรู้ หัดลองทำอาจใช้วิธีเชิญบุคคลที่สาม

แต่ถ้าหากเขายังไม่ได้ทำเป็นแผนการชัดเจนครับว่าวันนี้ต้องทำอะไรยังไงต่อแล้วก็คุยกับอัพไลน์ วางแผนไว้อย่างจริงจังนั้นยังไม่นับว่าเค้าเริ่มต้นถ้าท่านยังไม่ได้คุยกับอัพไลน์ เพื่อวางแผนในการทำงานกันอย่างจริงจังไม่เคยมีการปรึกษาเลยไม่เคยขอความช่วยเหลือเลย อัพไลน์เค้ารู้ว่าท่านไม่ได้ทำอะไรเลย

เพราะว่าท่านไม่ได้ทำ การต่อโทรศัพท์ 3 สาย (Three Ways Call) ตัวอัพไลน์ก็จะรู้ว่านี่คือเรืออะไร เรือเงิน เรือทอง หรือเรือว่างเปล่า หน้าที่ของเขาคือเค้าจะทำกับเรือทองเท่านั้นถ้าเขาได้เรียนรู้ในสิ่งที่ผมแบ่งปัน

เมื่อเรารู้แล้วว่าเดือนแรกเป็นเดือนแห่งการฝึกอบรมถ้าท่านทำธุรกิจมาเกินหนึ่งเดือน เข้าเดือนที่สอง ที่สาม ท่านต้องเริ่มต้นได้แล้วนะครับเพราะว่ามันจะนานเกินไปแล้วเดี๋ยวไฟจะมอดหมดนะครับ

เพราะฉะนั้นภายในสองเดือนถัดไปเมื่อท่านได้อุปถัมภ์คนเอาจริงมา 5 คน เราให้เขียนคำว่า 2M=5 ในห้าเหลี่ยมด้านใดด้านหนึ่ง

2M ก็คือเดือนที่ 2 และ 5 ก็คือ 5 คนที่ท่านสปอนเซอร์มาแล้วเขาเอาจริง 5 คน 

โดยท่านจะได้จะรูปตามที่ท่านเห็น ในอีก 2 เดือนถัดไป ท่านได้สอน 5 คนของท่านไปตลอดเวลา ถึงสิ่งที่ต้องทำ ทำให้เขาสามารถอุปถัมภ์คนเอาจริงได้ 5 คนเช่นเดียวกัน ทำให้ท่านนั้นมี 25 คนเอาจริงในชั้นที่ 2

และเมื่อ 5 คนของท่านอุปถัมภ์คนเป็นแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงมีเวลาไปหาคนเอาจริง 5 คนชุดถัดไปเพราะฉะนั้น 5 เหลี่ยมของท่านจึงเป็นดังรูปนี้ครับ คือ

ชั้นที่ 1 เดือนที่ 2 2M = 5 ชั้นที่ 2 4 เดือนผ่านไปท่านมีคนอยู่ข้างใต้ 25 คน แล้ว 5 คนแรกเขาดูแล 25 คนของเขาได้แล้ว 

ท่านสามารถไปเปิด 5 คนใหม่ในเดือนที่ 4 ได้อีก เห็นไหมว่า 3 เหลี่ยมอีกด้านหนึ่งจะมี 4M-5 ขึ้นมา ก็คือเดือนที่ 4 เปิดอีกด้านหนึ่งมี 5 คน

6 เดือนผ่านไปท่านอาจจะมีคนในทีมทั้งหมด 125 คนในระดับที่ 3 คือในสามเหลี่ยมด้านแรกเห็นไหมครับ 6M – 125 ก็คือทีมของท่านเติบโตอัตโนมัติ

เพราะท่านสอน 5 คนแรกไว้ดี 5 คนไปสอน 25 25 ก็ไปสอน 5 คนของเขาทำให้ท่านนั้นมี 125 คนในเดือนที่ 6 ท่านมี 125 คนในชั้นที่ 3 ซึ่งคนทั้ง 125 นี้อยู่ภายใน 5 คนที่เอาจริงชุดแรก สุดของเรา เห็นไหมครับใน 5 เหลี่ยมด้านแรก

แล้วท่านอาจมี 25 คนเอาจริงซึ่งเกิดจาก 5 คนชุดที่ 2 เกิดขึ้นอีกใน 5 เหลี่ยมด้านที่ 2 ผ่านไป 6 เดือนเติบโตระดับไหน 

ท่านเห็นภาพไหมครับถ้าท่านเอาจริงแล้ว 25 คนในชั้นที่ 2 ของชุดที่ 2 เกิดจากการที่ท่านนั้นสร้าง 5 คนเอาจริง

ทำซ้ำๆแบบนี้ท่านจะยิ่งเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วท่านอาจจะมีเวลาว่างไปหา 5 คนเอาจริงชุดที่ 3 ซึ่งชุดสุดท้ายท่านจะได้เห็นใน 5 เหลี่ยมด้านบนนี้ ด้านที่ท่านเห็นข้างหน้านี่นะครับ 6 Months มี 5 คนใน 5 เหลี่ยมด้านที่ 3 เห็นไหมครับ

นี่ขนาดผ่านไป 6 เดือนดูซะก่อนว่าคนเอาจริงเขามีรายได้กันแบบนี้ เติบโตกันแบบนี้

พอสิ้นสุดเดือนที่ 8 5เหลี่ยมของท่านอาจจะเป็นรูปอย่างที่ท่านเห็นตอนนี้ ก็คือ ขยายต่อไปเรื่อยๆในด้านที่ 1 นั้นลึกลงไป 4 ชั้น มี 625 คน ในด้านที่ 2 ลึกลงไป 3 ชั้น มี 125 คนในชั้นที่2 แล้วในชุดที่3 มี 25 คนเกิดขึ้นแล้วแถมยังมีชุดที่ 4 เกิดขึ้นอีก ท่านสามารถมี 5 คนได้หลายชุดเลยนะครับถ้าท่านทำธุรกิจเครือข่ายเป็น และทวีคูณเป็น 

พอมีถึงตอนนี้ให้ท่านแจกปากกาให้กับนักเรียนของท่าน คนทีท่านกำลัง พรีเซ้นดูข้อมูลนี้หรือไม่ก็ทีมของของท่าน

แล้วให้เขานั้นเขียนในสิ่งที่เกิดขึ้นอีกต่อไปใน 2 เดือนข้างหน้า หรือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นเมื่อระยะเวลาไป 10 เดือน ซึ่งตัวเลขที่ได้ในกลุ่มแรกจะได้มากถึง 3,125 คน

สุดท้ายแล้วท่านก็จะได้รูปภาพตามรูปที่ท่านเห็น คราวนี้วาดรูปห้าเหลี่ยมครั้งสุดท้าย พร้อมกับแสดงให้ทุกคนได้เห็นนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายใน 1 ปี ที่ท่านทำงานอย่างจริงจังในธุรกิจเครือข่าย

เพื่อเน้นย้ำให้ทีมของท่านและตัวท่านได้เห็นว่า การทำในเชิงลึก แนวลึก ไม่ใช่ทางกว้างนั้นสำคัญแค่ไหน ถ้าให้ดาวนะ มี 10 ดาวก็ต้องให้ 10 ดาว คือต้องสร้างในแนวลึก

ให้ท่าขีดฆ่า 4 กลุ่มที่เหลือทิ้ง ให้เหลือไว้แต่กลุ่มใหญ่ภายใต้ 5 คนแรกที่พาเข้ามาแล้วพูดกับคนที่กำลังฟังข้อมูลนี้จากท่านว่า

สมมุติว่าคุณทั้งหลายสร้างองค์กรจากการหาผู้เอาจริงเพียง 5 คนแล้วสร้างองค์กรเชิงลึกเท่านั้น แล้วไม่ได้ทำงานในด้านกว้างเลย

กล่าวคือคุณไม่ได้หาคนอื่นๆส่วนตัวอีกเลย คุณจะมีองค์ทั้งสิ้นในเดือนที่ 12 ถึง 15,625 คน แค่ด้านแรกด้านเดียวนะครับ

ขอแค่ทุกคนใช้สินค้าส่วนตัว โดยไม่ต้องขายอะไรทั้งสิ้นเพียงเท่านี้คุณจะสร้างยอดขายได้มากมายมหาศาลแล้วครับ

พูดแค่นี้ ทุกคนจะแบบ จริง มันใช่เลย ผมคำนวณให้แล้วกัน สมมุติยอดธุรกิจเครือข่ายของท่านต้องมียอดสั่งซื้อซ้ำเดือนละ 3,300 บาท ทุกคนต้องซื้อซ้ำทุกเดือนแต่คนที่มีทั้งหมดในเดือนที่ 12 คือ 15,625 คนที่ซื้อกินซื้อใช้ ไม่มีใครขายเลย ทุกคนซื้อใช้หมด 

เท่ากับยอดธุรกิจ 51,562,500 บาท ท่านดูสิครับว่าถ้าบริษัทท่านจ่าย 10% จะได้เท่ากับท่านได้รับรายได้เดือนนั้น 5,156,250 บาท ภายใน 12 เดือนเท่านั้น ตอนนี้ท่านเริ่มมองเห็นความเป็นไปได้ของธุรกิจเครือข่ายหรือยัง วัตถุประสงในการนำเสนอบทเรียนในบทนี้เพื่อเน้นย้ำให้ทุกท่านทำงานเป็นทีมในเชิงลึกร่วมกับผู้ที่ท่านพาเข้าในธุรกิจ แล้วก็สอนให้เขานั้นทำอย่างเดียวกับที่ท่านทำ

แล้วสิ่งที่ท่านต้องทำหลังจากนี้ก็คือ ออกไปทำงานได้แล้วครับ อย่าเอาแต่เรียนอย่างเดียว แล้วนิ่งเฉยแล้วไปทำอย่างอื่น นี่คือธุรกิจของท่าน ไม่มีใครรับผิดชอบความสำเร็จให้กับท่านได้ 

บทที่ 12 กลับไปโรงเรียน

มีคนทักมาถามผมเสมอๆว่า อยากแก้ปัญหาชีวิต อยากปลดหนี้เร็วๆ อยากรวย มีธุรกิจอะไรบ้างบอกผมหน่อย ผมอยากรวยเร็วๆ

ซึ่งผมก็บอกว่าไม่มีธุรกิจไหนที่รวยเร็วๆ ไม่มี ไม่มีหรอก

ถ้าท่านต้องการรวยแบบยั่งยืน ท่านต้องพัฒนาตัวเอง 100% เพราะท่านเคยเจอ สามล้อถูกหวย ท่านเคยเจอนักมวยโอลิมปิกที่เงินหมดตัว เพราะพวกนี้รวยเร็วแต่สมองไม่พร้อมที่จะรักษาเงินที่ได้มาให้อยู่กับเขาแล้วงอกเงย ​

อยากรวยเร็วๆ แนะนำให้ไปเรียน ให้กลับไปเรียนวิธีการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เขาบอกเสียเวลาเรียนไม่ได้ อยากรวยเร็วๆ

แล้วรู้ไหม ทำยังไงให้รวยเร็ว คุณไปสมัครทำธุรกิจ คุณไปลงทุนเล่นหุ้น จะไปทำฟอร์เร็กสารพัด คุณทำเป็นรึป่าวล่ะคุณเทรดหุ้นเป็นรึป่าว

หรือว่าคุณนั้นเนี้ยจะสมัครทำธุรกิจ จะเปิดคอร์สออนไลน์ตัวเองสอนอยากจะทำเร็วๆ

คำถามคือทำคอร์สออนไลน์ออกมาแล้วขายเป็นรึป่าวล่ะ จะมีคนซื้อไหม ถ้าขายไม่เป็นทำการตลาดไม่เป็น

ผมเลยบอกใจเย็นๆ ทัศนคติ (Mind set)  ของคุณยังไม่เข้าใจว่าคนรวยเขาคิดยังไง และ คนยังไม่รวยคิดยังไง คิดคนละแบบกันด้านการทำงานประจำ กับด้านทำธุรกิจนั้นคนละโลกกัน

ถ้าท่านต้องการประสบความสำเร็จท่านต้องค่อยๆ พัฒนา ทัศนคติ ( Mind set ) ของท่าน ซึ่งมันใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน – 3 ปี กว่าที่ท่านจะพัฒนา ทัศนคติ ( Mind set ) ให้เป็นผู้ประกอบการที่ทรงพลัง

พวกรวยเร็วเนี้ยไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมเจอมาเยอะแล้ว 15 ปี ขอรวยเร็ว ธุรกิจเปิดตัวใหม่ เฮโล สุดยอดเลย รวย รวย รวย ไม่เกิน 3 เดือนหายหมดแล้ว พวกที่เฮโลเนี้ยเปลี่ยนธุรกิจใหม่อีกละ เปลี่ยนใหม่อีกละ สุดท้ายก็เลิกไป แล้วก็กลับไปทำงานเหมือนเดิม แล้วก็โทษว่าธุรกิจไม่ดี

จริงๆไม่ใช่ เขาไม่เข้าใจบทเรียนนี้ในบทเรียนนี้ผมจะพูดเกี่ยวกับทัศนคติของท่านสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมากในขณะที่ท่านกำลังสปอนเซอร์ หรือ อุปถัมภ์ผู้คน ผู้จำหน่ายหลายๆคนจะมีทัศนคติแบบนี้ครับ คือ

ผมจะชวนใครเข้าสู่ธุรกิจของผมดี ทัศนคติที่ถูกต้องควรจะเป็นแบบนี้นะครับ คือ “ฉันจะเสนอโอกาสในการเกษียรเร็วให้กับใครคนต่อไปดี” เพราะถ้าท่านเชื่อว่าทุกๆ คนสามารถเกษียณอายุการทำงานได้ภายใน 1-3 ปีต่อจากนี้และท่านรู้วิธีในการนำเสนอโอกาสนี้ใน 2 นาทีแล้วละก็ ทำไมท่านจะต้องนำโอกาสนี้ไปให้กับคนแปลกหน้า เห็นด้วยไหมครับ

ท่านได้เรียนบทสนทนา 45 วินาทีแล้ว จากตำราของ ดอน เฟียล่า ที่ผมเอามาแบ่งปัน เป็นตำราที่ผมไม่ได้คิดขึ้นเอง คนเขียนเป็นนักธุรกิจเครือข่ายอายุ 70 กว่าปี มีองค์กร 800,000 คน โดยการเริ่มต้น สอนวิธีการใช้บทสนทนา 45 วินาทีในการคัดเลือกผู้มุ่งหวังว่าเขาคือคนที่ใช่หรือไม่ ไม่ต้องไปค่อยตามตื้อตลอด การที่ท่านจะมีรายได้ 200,000/เดือน และไม่ต้องทำงานอีกเลย ท่านจะต้องกลับไปโรงเรียน ท่านจะต้องเรียนรู้ทุกอย่าง ที่ท่านจำเป็นต้องรู้ โดยต้องใช้เวลาอย่างน้อยอาทิตย์ละ 5-10 ชั่วโมงเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

นี่คือการเรียนรู้ในธุรกิจเครือข่าย ที่คือสูตรแห่งความสำเร็จนี่คือสูตรของการเป็นมหาเศรษฐี อย่ายอมแพ้ถ้ายังไม่ถึง 6 เดือน อย่าทำตัวแบบเดิมๆท่านลองยอมกลับไปเรียนโรงเรียน MLM สิครับ โรงเรียนแห่งความสำเร็จ อาทิตย์ละ 5-10 ชั่วโมงเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน

แล้วหากใครบางคนพูดกับท่านว่าผมจะอยู่ในธุรกิจ 30 วัน เพื่อจะรอดูซิว่ามันจะเป็นยังไง ผมขอดูผลลัพธ์ของคุณก่อน อย่าไปเสียเวลากับเขา เขาสร้างรากฐานไม่ได้ภายใน 30 วันหรอกแล้วเขาเปลี่ยนทัศนคติให้เป็นคนรวยไม่ได้หรอก จงอยู่ที่เดิมต่อไป อย่าไปยุ่งกับเขา เขาจะฉุดท่านลงทะเลไปด้วยโรงเรียนที่ผมพูดถึงหมายถึงโรงเรียนแห่งการมีส่วนร่วม คือเริ่มจากการเข้าอบรมประจำสัปดาห์ ฟังเทปที่ช่วยสร้างแรงกระตุ้น ฟังรีเพล์ที่ผมแบ่งปันเสมอๆ ดูเยอะๆ ฟังเยอะๆ เกี่ยวกับการสร้างธุรกิจเครือข่าย

ขับรถอย่าฟังเพลง ฟังโน้นนี่นั้น จงทำรถของท่านให้เป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ ท่านจะรวยเร็วมาก ท่านสามารถทำสิ่งเหล่านี้ควบคู่กับงานประจำได้ โดยที่ท่านไม่ต้องลาออก

ถ้าคุณสามารถหาคนเอาจริงห้าคนในเดือนแรกได้ คุณควรจะสามารถช่วยพวกเขาอุปถัมภ์อีกคนละ 5 คนได้ภายในเดือนที่สาม

เมื่อคนของคุณกำลังช่วยคนของเขาอุปถัมภ์คน 5 คน ให้คุณช่วยเหลือกลุ่มของคุณและสอนให้คนของคุณทำแบบเดียวกัน คุณน่าจะไปถึงระดับ 3 ชั้นลึกได้ภายในหกเดือน แล้วถ้าหนึ่งปีผ่านไปจะเป็นอย่างไรหละครับ

เมื่อคุณพิจารณารูปด้านบน -5-, -25-, -125- หมายถึงผู้จำหน่ายที่เอาจริง สมมติในตอนนี้คุณมีคนเอาจริงในองค์กรถึง 155 คนแล้ว

แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่คุณนำเสนอธุรกิจไปจะสนใจทำธุรกิจซะทุกคน ใช่ไหมครับ

ในกระบวนการสร้างธุรกิจของคุณนั้นคุณจะต้องเจอคนที่ไม่ต้องการทำธุรกิจ แต่สนใจสินค้า คนเหล่านี้จะกลายเป็นลูกค้าปลีกของคุณ

สมมติว่าผู้จำหน่ายแต่ละคน มีลูกค้าที่เป็นเพื่อนสิบคน หากเป็นดังนี้คุณจะมีลูกค้าทั้งหมด 1,550 คน และผู้จำหน่ายก็เป็นลูกค้าเช่นกัน ดังนั้นคุณจะมีลูกค้ารวมทั้งสิ้น 1,705 คน

ลูกค้าที่เป็นผู้จำหน่าย จะซื้อสินค้ามากกว่าลูกค้าทีเป็นเพื่อน ด้วยเหตุผลสามประการ

  • ข้อแรกคือ ผู้จำหน่ายนั้นจะมีความเข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัททั้งหมดเป็นอย่างดี
  • ข้อสองคือ ผู้จำหน่ายสามารถซื้อสินค้าได้ในราคาขายส่ง ซึ่งทำให้เขาสามารถใช้สินค้าด้วยตัวเองได้มากกว่า
  • และข้อสามคือ ผู้จำหน่ายนั้นบางครั้งต้องแจกสินค้าออกไปเป็นตัวอย่างบ้าง คุณเองควรเสนอให้ผู้จำหน่ายของคุณลองแจกสินค้าออกไปให้ผู้จำหน่ายใหม่ของเขาทดลองใช้ดูด้วยครับ

จากรูปด้านบน เส้นประใต้ตัวเลขใต้ 155 แสดงถึงลูกค้าปลีกคนอื่นๆ อีกที่เรายังไม่ได้นับ เอาหละครับ มาถึงจุดสำคัญของการนำเสนอชิ้นนี้แล้ว

คุณอาจพูดประมาณนี้ก็ได้ครับ เมื่อเราคูณ 1,705 ด้วย 1,000 บาท (สมมติเป็นยอดซื้อของสมาชิกต่อเดือนนะครับ ผมเชื่อว่าพวกคุณหลายคนอยู่ในองค์กรที่มียอดซื้อต่อเดือนมากกว่า 1,000 บาททั้งนั้น)

เราจะได้ยอดขายรวมทั้งองค์กรของคุณต่อเดือนใช่ไหมครับ ซึ่งก็คือ 1,705,000 บาท ดูไม่เลวใช่ไหมครับ

แต่อย่าลืมด้วยนะครับว่า มันเกิดขึ้นจากการที่คุณทำงานกับคนเพียง 5 คนเท่านั้น ด้วยยอดขายประมาณนี้ คุณควรจะมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 70,000 ถึง 200,000 บาทแล้วครับ

สาเหตุที่ช่วงของรายได้ค่อนข้างกว้าง เป็นเพราะบางคนอาจมีลูกค้าปลีกมากกว่า 10 คนก็เป็นได้ และแผนการจ่ายเงินของบริษัทต่างบริษัทก็ต่างกันออกไป

ตอบคำถามต่อไปนี้นะครับ

ถ้าภายในระยะเวลาหกเดือนคุณสามารถสร้างรายได้ 70,000 ถึง 200,000 บาทต่อเดือนนอกเหนือจากรายได้จากงานประจำที่คุณทำอยู่ คุณยอมกลับไปโรงเรียนห้าถึงสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อเรียนรู้ว่าจะทำมันอย่างไรไหมครับ?

การนำเสนอในบทนี้ง่ายมากและมันอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าองค์กรจะเติบโตอย่างไร

ซึ่งมันเกิดขึ้นจากการสร้างองค์กรในสายงานด้านลึกและการที่แต่ละคนรักษายอดขายคนละเล็กละน้อย

ผมเชื่อว่าทุก ๆ คนสามารถหาลูกค้าได้สิบคนโดยไม่ยากนักครับ ไม่ต้องเป็นนักขายมืออาชีพก็ทำได้ เมื่อคุณพูดจบแล้วคุณน่าจะได้รูปภาพดังภาพข้างล่างนี้

คนเอาจริง หมายความถึง ผู้ที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเข้าร่วมธุรกิจและศึกษาอย่างน้อยห้าถึงสิบชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นเวลาอย่างน้อยหกเดือน ต้องทำเช่นนี้เขาถึงจะสามารถเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจได้ครับ

ถ้าเนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่าน เราอยากทราบว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร เขียนความเห็นที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ท่านสามารถช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้คนได้โดยการแชร์บทความนี้ออกไปเยอะๆ นะครับ

แด่ความสำเร็จของท่าน

วิธีสร้างทีมงานในธุรกิจเครือข่าย

วิธีสร้างทีมงานในธุรกิจเครือข่าย

ถ้าท่านไม่ต้องการเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธและล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจเครือข่ายของท่านอีกต่อไป และต้องการรู้วิธีดึงดูดผู้คนให้เข้ามาขอสมัครทำธุรกิจกับท่านเอง คลิกที่นี่

ถ้าท่านมีทีมงานแล้ว ไม่ทำอะไรเลยไฟมอดสนิท และทีมงานเขาไม่รู้ตัวว่าเขาต้องทำอะไร หรือไม่ก็เขาไม่สามารถโมติเวทตัวเองได้หรือไม่เขาก็ไม่เข้าใจธุรกิจนี้

วันนี้จะมาแบ่งปันวิธีกระตุ้นทีมงานของท่านอย่างไรให้ตื่นเต้นให้ไฟลุกร้อนฉ่าตลอดเวลา

วีดีโอ “กระตุ้นทีมงานอย่างไรให้ไฟลุกร้อนฉ่าตลอดเวลา”

หนังสือเสียง “กระตุ้นทีมงานอย่างไรให้ไฟลุกร้อนฉ่าตลอดเวลา”

สารบัญเนื้อหาวีดีโอ “กระตุ้นทีมงานอย่างไรให้ไฟลุกร้อนฉ่าตลอดเวลา”หนังสือเสียง “กระตุ้นทีมงานอย่างไรให้ไฟลุกร้อนฉ่าตลอดเวลา”ตอนที่ 8 ใช้เวลาของเราที่ตรงไหนตอนที่ 9 นักย่างสเต็ก ขายสเต็กเนื้อย่างตอนที่ 10 แรงกระตุ้นและทัศนคติ

ถ้าท่านต้องการเรียนรู้นะครับว่าจะสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจออนไลน์ MLM ขายตรง ประกันชีวิต ของท่านอย่างไร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านจะกระตุ้นทีมงานของท่านอย่างไร ให้ตื่นเต้นให้ไฟลุกร้อนฉ่าตลอดเวลา ไม่ใช่สองวันดีสามวันมอดแบบนั้น

วันนี้ข้อมูลที่ผมจะแบ่งปัน ผมเชื่อว่ามันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของท่านไปไม่เหมือนเดิมอีกเลย

ตอนนี้เป็นตอนที่ 4 แล้ว ย้อนกลับไปดูตอนผ่านมาได้จากที่นี่

ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในการสร้างธุรกิจเครือข่ายอย่างแรกก็คือ “ไม่มีรายชื่อ” หรือมีรายชื่อแล้ว “สปอนเซอร์คนไม่ได้” ทำให้ขาดรายชื่อพอขาดรายชื่อก็เลยขาดรายได้ นี่คือสองปัญหาที่ใหญ่ที่สุด

แต่คนที่ก้าวข้ามผ่านเรื่องของการสปอนเซอร์คนได้แล้ว คือ มีรายชื่อสปอนเซอร์คนได้มีรายได้เกิดขึ้น

แต่พอมีทีมงานเข้ามาในทีมงานก็ไม่ทำอะไรเลยไฟมอดสนิทกัน และเขาไม่รู้ตัวว่าเขาต้องทำอะไร หรือไม่ก็เขาไม่สามารถโมติเวทตัวเองได้ หรือไม่เขาก็ไม่เข้าใจธุรกิจนี้

หากเจอปัญหาว่าเค้าไม่เข้าใจธุรกิจต้องส่งวิดีโอที่ผมพูดกันตั้งแต่ตอนแรกให้เค้าฟัง เค้าจะได้เห็นภาพคำว่าธุรกิจเครือข่ายคืออะไร พลังทวีคูณคืออะไร เราจะเริ่มต้นในสี่ขั้นตอนยังไง รวมถึงการปล่อยเรือออกไป และตามมาด้วยวิธีการเชิญผู้คนมาดูโอกาส เดี๋ยวเราจะมีการไล่เรียงเนื้อหาให้ท่านได้ติดตาม

แต่ถ้าท่านมีองค์กรแล้วหรือท่าน กำลังจะสร้างองค์กรแล้วท่านไม่อยากที่จะติดกับ ปัญหาที่ว่า

เฮ้ยยย ทีมงานฉันบิ๊วยังไงก็ไม่ขึ้นเลย นิ่งสนิทตายเรียบ ไม่รู้หน้าที่ตัวเองเลย ใช่เขารู้หน้าที่ แต่กลุ่มคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่เขาเรียกว่ามีจำนวนมากในสังคม

ยิ่งสังคมการสร้างธุรกิจมีเยอะมากคือไม่สามารถกระตุ้นตัวเองได้ เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มที่จะไม่ประสบความสำเร็จเร็วที่สุด

เราไม่เรียกกลุ่มนี้ว่าเป็น Self Starter 

Self Starter เป็นกลุ่มคนที่เราอยากได้ที่สุดในการสปอนเซอร์คน

Self Starter  คือ กลุ่มคนที่สามารถลุกมาทำอะไรอะไรด้วยตัวเองได้ ต่อให้อัพไลน์ตายไปก็ช่าง ทำได้สำเร็จด้วย

แต่คนมากกว่า 80-90% อัพไลน์อยู่สอนทุกอย่าง ทุกวัน ป้อนทุกวัน ก็ไม่สามารถลุกขึ้นมาทำอะไรได้เลย

กลุ่มนี้ถ้าเป็นท่านตระหนักให้ดี ท่านยังไม่มีคุณสมบัติที่จะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ตระหนักให้ดี สมัครทำธุรกิจไปแล้วแต่ไม่ทำอะไรเลย

ไม่รู้จะทำอะไร ทำอย่างอื่นคือยุ่งกับเรื่องอื่น แต่เรื่องที่ควรจะทำไม่สามารถเอาตัวเองตระหนัก หรือ ตระหนักรู้ว่าฉันต้องทำอะไรและฉันต้องลงมือทำให้ได้

ขาดโฟกัสในการจะมีวินัย ขาดวินัยในการจะโฟกัสทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

วันนี้เราจะทำให้ท่านเห็นภาพเลยนะครับว่า เฮ้ยย!! ในฐานะในการเป็นอัพไลน์เราควรกระตุ้นทีมงานยังไง ในฐานะของการเป็นทีมใหม่ เป็นคนใหม่ในธุรกิจฉันควรจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทัศนคติของฉันได้อย่างไรวันนี้จะได้ประโยชน์ทั้งอัพไลน์ และจะได้ประโยชน์ทั้งหุ้นส่วนใหม่

ตอนที่ 8 ใช้เวลาของเราที่ตรงไหน

อย่างที่พูดไปเมื่อกี้ไงว่าคนส่วนมาก ทั้งอัพไลน์ ดาวไลน์ ไซด์ไลน์ คน 80-90%ไม่รู้หน้าที่ในการทำธุรกิจของตัวเอง สมัครทำธุรกิจมาแล้วหายสาบสูญไปเลยไม่รู้หายไปไหน เป็นเพราะเขา…

  1. เขาไม่ได้เป็น Self Starter 
  2. ไม่มีทัศนคติของการเป็นผู้ประกอบการ

การเป็นผู้ประกอบการไม่ต้องรอให้ใครกระตุ้นถ้าต้องรอให้ใครกระตุ้นนั้นไปไม่รอด

ในธุรกิจเครือข่ายเราจะไม่ทำแบบเนอสเซอรี่แต่เราจะเลี้ยงลูกของเราให้แข็งแกร่งเราจะสอน สอนแล้วก็พาทำ ถ้าสอนแล้วยังไม่ยอมทำ  พาเดินก็ไม่ยอมเดินร้องไห้งอแง เค้าก็ไปหาคนอื่นทำต่อเอาคนที่พร้อมจะเดินกับเราก่อน

เพราะฉะนั้นเดี๋ยวเราจะมาดูครับว่าเราจะใช้เวลาของเราที่ ตรงไหนให้ทรงพลังที่สุดและเกิดประโยชน์ที่สุด

เรามาดูภาพครับ ภาพนี้เป็นกราฟจะแสดงให้ท่านได้เห็นครับว่า ท่านจะใช้เวลาที่ตรงไหน

โดยทั่วไปแล้วในช่วงเริ่มต้นของท่านนั้นเวลาทั้งหมด ผมหมายถึงเวลาทั้ง 100% ของท่านควรใช้ไปในการอุปถัมภ์คนอื่น

สมัครเข้ามาปุ๊บ เวลาร้อยเปอร์เซ็นต์โฟกัสในการ อุปถัมภ์คนอื่น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำ ถ้าตอนนี้ตัวอัพไลน์ก็ไม่ได้อุปถัมภ์คน ไม่ได้ดูแลทีมงานตัวเอง ตัวของทีมงานที่เข้ามาก็ไม่อุปถัมภ์คนต่อ องค์กรนี้ชะงักอย่างแน่นอน

แต่ถ้าอัพไลน์ ลุกขึ้นมาอุปถัมภ์คนของตัวเองแล้ว ตัวของท่านที่เป็นคนใหม่ก็ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตัวเองในการอุปถัมภ์คนต่อ โดยการทำงานกับอัพไลน์ องค์กรนี้ก็เริ่มมีโมเมนตัม

และโมเมนตัมคือเพื่อนที่ดีที่สุดของธุรกิจเครือข่าย

ถ้าไม่มีโมเมนตัม ท่านต้องบิ้วใหม่อยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าท่านมีโมเมนตัมแล้วเหวี่ยงต่อไปอย่าหยุดเหวี่ยงติดต่อกันอย่างน้อย 18 เดือนถึงสามปี

ท่านจะมีอิสรภาพทางการเงินและเวลาในธุรกิจเครือข่ายได้เลย

แต่ท่านอาจจะมีคำถามว่า อ้าวที่ผ่านมา สอนไม่ใช่หรอว่าถ้าเราควรจะใช้เวลาในการศึกษาก่อนอย่างน้อยสองสามสัปดาห์แรกไม่ใช่หรอ

เรายังจะไม่นับวันเริ่มต้นไม่ใช่หรอ ถูกต้อง ที่ท่านพูดมาไม่มีอะไรผิดเลยแต่ท่านอย่าลืมนะครับว่าในช่วงแรกที่ท่านต้องเรียนรู้นั้นคนที่เป็นสปอนเซอร์ของท่านจะมาช่วยท่านอุปถัมภ์คนอื่น ไม่ใช่ท่านทำคนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบ

เขาจะเซ็ตระบบสอนระบบ และสอนวิธีการให้ท่านนั้น สปอนเซอร์โดยการถามถึงบุคคลที่สาม เมื่อท่านเชิญคนมาดูโอกาสแล้วเค้าจะช่วยตอบคำถามให้ชัด แต่เขาไม่สามารถเชิญคนแทนท่านได้ เขาไม่สามารถเชิญคนของท่านมาดูโอกาสได้ท่านก็จะต้องทำส่วนนั้น

อัพไลน์จะเข้าจะมาช่วยสปอนเซอร์โดยการ ช่วยคุยช่วงสุดท้ายในการปิดสมัครในการตอบคำถามตอบข้อกังวลสงสัยให้

เพราะฉะนั้นสปอนเซอร์ของท่านจะมาช่วยท่านสปอนเซอร์ต่อ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นการฝึกไม่ใช่อ่านตำราอย่างเดียวโดยไม่ต้องทำอะไรเลย

ใช่ต้องลงมือทำด้วย แม้ว่าผู้อุปถัมภ์ของท่าน หรือสปอนเซอร์ของท่านจะทำงานแทนท่าน ท่านจะเป็นผู้อุปถัมภ์โดยตรงของคนที่ท่านพาเข้ามาในธุรกิจ

คือสปอนเซอร์ช่วยท่านก็จริงแต่ถ้ามันเป็นคนที่สามารถสปอนเซอร์เขาเข้ามา ท่านก็เป็นสปอนเซอร์ของเขาเป็นคนที่อุปถัมภ์เขา

ในธุรกิจเครือข่ายนั้นจะท่านจะเริ่มอุปถัมภ์ผู้คนได้ทันที ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเลยนะควรจะทำตั้งแต่วันนั้นเลย

เพราะถ้าสปอนเซอร์ของท่านสอนวิธีการที่เวิร์คกับท่านตั้งแต่วันแรกให้ท่านได้อ่านตำรานี้ตั้งแต่วันแรก ท่านเข้าใจสี่บทแล้วท่านเข้าใจวิธีการเชิญคนบุคคลที่สาม รู้แล้วท่านสามารถทำได้เดี๋ยวนั้นเลย

แต่ถ้าท่านไม่ต้องการทำเดี๋ยวนั้นก็ไม่มีปัญหายิ่งทำเร็วยิ่งดี แต่ถ้าหากท่านต้องการทำทีหลังก็ไม่มีปัญหา

เมื่อท่านเริ่มต้นธุรกิจก็จะมีเพียงแต่ท่านคนเดียวและท่านก็ทราบดีว่าท่านจะต้องอุปถัมภ์ 5 คนที่เอาจริงเท่านั้นเ พราะท่านจะต้องมี 5 ฟ้อนไลน์ และสร้างลึกลงไปห้าชั้น

แต่การที่ท่านจะได้หาคนจริงจังท่านต้องอุปถัมภ์คนมากกว่า 5 คน ค่าเฉลี่ยคือท่านจะต้องสปอนเซอร์ประมาณ 10-20 คน มีคนสมัครทำธุรกิจกับท่าน ไม่ว่าจะเป็น package อะไรก็แล้วแต่ 10 ถึง 20 คนแล้วจะมีห้าคนที่จริงจังปรากฎตัวขึ้นมานี่คือ กิจกรรมแรกที่ต้องทำ

แล้วเหตุใดเล่าเมื่อเวลาผ่านไปเวลาที่ท่านต้องใช้ในการสปอนเซอร์คนหรืออุปถัมภ์คนจึงลดลง ดูกราฟครับท่านจะเห็นเลยครับว่า ยิ่งเวลาผ่านไปเวลาที่ใช้ในการสปอนเซอร์คนลดลง เรื่อยๆ จาก 100% เหลือ 10%

จริงๆเราทำงานกันแค่ช่วงแรกเท่านั้น ถ้าใครเข้าใจจุดนี้ทุ่มเทเวลาเต็มที่เลยช่วง เดือน 2 เดือน 3 เดือนแรก ในการสปอนเซอร์คน 5 คนจริงจังให้ได้

ถ้าท่านไม่เริ่มต้นสักที ท่านจะเหมือน พายเรืออยู่ในอ่างอยู่นั้นแหละไม่ไปไหนเลย แต่ถ้าท่านเข้าใจจุดนี้แล้วก็จับมือกับอัพไลน์ อัพไลน์จับมือกับทีมงาน

เฮ้ยยย พวกเราเดือนแรกจัดหนักจัดเต็มหา 5 คนจริงจังให้ได้ไม่เกิน 18 เดือนท่านมีรายได้ 6-7 หลักได้เลย แต่ถ้าพิรี้พิไรอยู่นั้นแหละ ไม่เริ่มสักที เราต้องหาคนที่พร้อมที่จะเริ่มต้นอย่างจริงจังภายในหนึ่งเดือน อย่าไปเสียเวลากับเรือว่างเปล่า

เหตุใดเล่าเมื่อเวลาผ่านไปเวลาที่ท่านต้องใช้ในการสปอนเซอร์คนหรืออุปถัมภ์คนจึงลดลง

คำตอบคือ เมื่อถึงเวลาเอาจริงเมื่อสปอนเซอร์หนึ่งคน สองคน สามคน จนถึงห้าคนเมื่อไหร่ ท่านจะเลิกใช้เวลาในการหาคนเอาจริงแล้วไง แต่ท่านจะเปลี่ยนมาใช้เวลาสอนก่อน เห็นไหมไม่มีคำว่าขายเลย ท่านจะสอนเขาให้เรียนรู้กับ สี่บทแรกและสอนให้เขาอุปถัมภ์ห้าคนจริงจังของเขา และก็สอนให้เขารู้วิธีในการสอนคนของเขาให้สปอนเซอร์คนอื่นๆได้อีกด้วย

ง่ายๆเลยเมื่อท่านได้ 5 คนจริงจังลงไปสอนเขาให้เต็มที่เลยจะต้องพูดยังไงสปอนเซอร์ยังไง ขั้นตอนเป็นยังไง ให้เขาสอนทีมงานเขาได้ด้วยเมื่อเขารู้วิธี และเมื่อเขาสามารถสร้างทีมได้ลึก 3-4 ชั้น

และเมื่อเขาบอกเขาไม่ต้องการท่านแล้ว เขาเป็นแล้ว ท่านค่อยไปหาคนเอาจริงใหม่ในสายใหม่ ท่านก็จะมีสายที่ 6 7 8 9 10 ท่านก็ยิ่งร่ำรวยมากยิ่งขึ้นและมีแพสซีพอินคำ

ท่านดูภาพนะครับ ท่านมี 4 คนแรก 4 คนนี้ไม่ต้องการท่านแล้วองค์กรเขาโตแบบอัติโนมัติลึกไป 4 ชั้นมี 625 คนในชั้นที่ 4 แล้วท่านเปิดสายใหม่แล้วทำแบบเดิมอีก 4-5 คน ท่านได้อีก 6,000 คน ทวีคูณกันเป็นหมื่นเลยครับ เลขมันเป็นแบบนี้จริงๆ

เพราะฉนั้นท่านจะต้องเข้าใจก่อนว่าโฟกัสอะไร

หา 5 คนที่จริงจัง พา 5 คนนี้ลงลึก 4 ชั้น ข้างใต้นี้จะมีคน 625 คนรวมในองค์กรทั้งหมด 781 โอ้โห เห็นภาพรึยัง นี่เป็นภารกิจที่น่าทำมากที่สุดในโลกนี้ในการสร้างรายได้ที่ทรงพลังที่สุด ความเสี่ยงต่ำที่สุดแล้วทุกคนสามารถทำได้ เมื่อตั้งสติ ตั้งใจและตระหนักว่าตัวเองต้องทำอะไรที่ละขั้นที่ละตอน ทำเล็กๆจนกระทั่งพิชิตจุดหมายใหม่

เมื่อท่านพบคน 5 คนเอาจริงเรียบร้อยแล้วท่านควรจะใช้เวลา 95% ของท่านในการทำงานกับเขา 2.5%ในการดูแลลูกค้าที่เป็นเพื่อนของท่าน ท่านมีเพื่อนเป็นลูกค้าไง เพราะท่านแบ่งปันผลิตภัณฑ์ให้กับเพื่อนของท่าน

และอีก 2.5% ที่เหลือ ใช้ในการหว่านเมล็ดเมื่อใดก็ตามที่ท่านได้เจอคนใหม่ๆ สปอนเซอร์ไว้ก่อนต้องทำเรื่อยๆ ถ้าท่านแบ่งงานอย่างนี้ได้ นั้นหมายความว่าเวลาในแต่ละวันคือทำงานกับคน 5 คน

สมมุติผมจะบอกวิธีการในการทำงานกับ 5 คนให้เป็นระบบให้ฟัง ท่านทำงานแบบงานประจำเลย

  • วันจันทร์ทำกับคนที่ 1
  • วันอังคารทำกับคนที 2
  • วันพุธทำกับคนที่ 3
  • วันพฤหัสทำกับคนที่ 4
  • วันศุกร์ทำกับคนที่ 5
  • เสาร์อาทิตย์หยุดพักผ่อน

วันจันทร์กลับมาหาคนที่ 1 ใหม่ เป็นไงมีทีมงานรึยัง เพราะตลอดสัปดาห์นั้นท่านสามารถทรีเวย์คอล ตอบคนถามให้คนที่ 1 ด้วยมันจะวนเกิดผลลัพธ์กันแบบนี้แล้วทุกคนก็รู้หน้าที่ของเขาว่าวันจันทร์ต้องทำไง เป็นระบบ ทำให้ท่านแยกแยะได้ไม่มั่ว

ท่านเหมือนออกไปทำงานประจำ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปท่านจะยิ่งรวยกว่าคนทำงานประจำเป็นร้อยเท่า ยิ่งเวลาผ่านไปองค์กรท่านโต ท่านไปเลยครับ 5 โมงเย็นนัดกันร้านกาแฟ นัดกันบ้านไหนก็ได้ ใช้เวลาทำงานด้วยกันผ่านไป 3 ปี ท่านมีรายได้เป็นล้านๆบาทต่อเดือน 

คนทำงานประจำรายได้ขึ้นไม่ถึง 15% แล้วงานอิสระด้วยทำตอนไหนก็ได้ นี่คือธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก อิสระที่สุดในโลก

ตอนที่ 9 นักย่างสเต็ก ขายสเต็กเนื้อย่าง

ผมจะทำให้ท่านได้เห็นภาพครับว่า ถ้าเราเข้าใจธุรกิจเครือข่าย เรามี Mind set ที่ถูกต้อง เข้าใจหลักการของมัน มีจิตวิทยาในการเข้าใจคนด้วย การทำธุรกิจจะเป็นอะไรที่สนุกมาก บทเรียนนี้สามารถที่จะเรียกอีกชื่อหนึ่งได้ว่า “กองไฟ”

สมมุติว่าท่านไปค้างแรมที่กลางป่า เมื่อท่านดึงฟีนออกจากกองไฟ ไฟก็จะลดลง ถูกไหมครับ และเมื่อท่านใส่ฟืนกลับเข้าไปใหม่ ไฟก็จะเกิดกลับมาโหมแรงเช่นเดิม 

เพราะฉะนั้นถ้าท่านมีฟืน 1 ท่อน ท่านจะ “ไม่มีอะไรเลย”

แต่ถ้าท่านมีฟืน 2 ท่อน ท่านจะมี “เปลวไฟ” 

ถ้าท่านมีฟืน 3 ท่อนท่านจะมี “ไฟ” เกิดขึ้นแล้ว

เมื่อท่านมีฟืน 4 ท่อนวางอยู่ด้วยกันท่านจะมี “กองไฟ”

ผู้คนก็เช่นเดียวกัน เช่น เมื่อท่านนั้นนัดเจอกับผู้มุ่งหวังของท่านพร้อมกับคนที่ท่าน อุปถัมภ์หรือไม่ก็คนที่เป็นคนสปอนเซอร์ของท่านในร้านอาหารสักแห่งหนึ่ง

แล้วตัวท่านไปถึงร้านก่อนซึ่งท่านนั้นอยู่คนเดียวให้ท่านลองสังเกตดูว่าในร้านๆนั้นมีพลังานมากแค่ไหนหรือไม่มีเลย ส่วนมากแล้วไม่มีพลังเลยนอนจากพลังจากตัวท่าน เงียบสนิท

และเมื่อผู้สปอนเซอร์ของท่านมาถึงและนั่งด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วมีพลังงานเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน ท่านรู้สึกได้ไหม เมื่อเทียบกับการนั่งคนเดียว

แล้วท่าน 2 คนกำลังรอใครบางคนอยู่ แล้วเมื่อเขามาถึงแล้วมันก็ยิ่งมีพลังงานมากขึ้นอีก กลายเป็น 3 คนแล้วนะครับ

และเมื่อบุคคลที่ 4 มาถึง ท่านได้สร้างกองไฟหรือบรรยากาศอันร้อนฉ่าสำเร็จแล้ว

​​​​​​​​ธุรกิจเครือข่ายที่ท่านกำลังจะนำเสนอ ก็เหมือนเนื้อสเต็กครับ ใครๆก็รู้ว่าไฟที่ร้อนฉ่าเท่านั้นจึงจะย่างสเต็กได้

หมายความว่า ต้องมีคนอย่างน้อย 4 คนจึงจะย่างสเต็กหรือจะทำธุรกิจเครือข่ายให้มันแบบถึงพริกถึงขิง สุกกินอร่อยได้ เพราะฉะนั้นจงนัดผู้อุปถัมภ์ของท่าน อัพไลน์ ดาวไลน์ พร้อมกับองค์กรของท่าน สัก 2 คน รวมด้วยท่านเป็น 4 เพื่อแบ่งปันบทเรียนนี้

ทำให้พวกเขาร้อนฉ่า ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา สถานที่ๆเหมาะสมกับเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นที่ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ออฟฟิต ห้องประชุมเล็ก เลือกร้านอาหาร เลือกเวลาที่ยุ่งน้อยที่สุดคือช่วงก่อนอาหารเที่ยงสัก 10 โมงเช้าหรือหลังอาหารเที่ยงคือบ่ายสอง 

หากท่านพาผู้มุ่งหวังเข้าสู่วงสนทนาอันร้อนฉ่านี้แล้วละก็ แม้ว่าตอนแรกเขาจะมีข้อสงสัย หรือมีคำถามในใจ ผู้มุ่งหวังนั้นเปรียบเสมือนฟืนที่เปียกน้ำ พอผู้มุ่งหวังมาถึงเราก็โยนเขาลงไปในกองไฟ ฟืนเปียกนั้นก็จะแห้ง แล้วกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ไหม้ในกองไฟนั้น เห็นภาพไหมครับการสปอนเซอร์แบบออฟไลน์ การคุยนั้นเราจะต้องจัดบรรยากาศอย่างไร

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น หากเรือทองของท่านนั้น เข้ามาในธุรกิจได้ไม่นานกำลังนั่งอยู่ที่ร้านอาหารตามลำพัง และ นั่งคุยกับผู้มุ่งหวังที่เปรียบเสมือนฟืนเปียกน้ำ แบบนี้ไม่ต่างกับการโยนฟืนเปียกน้ำใส่ฟืนที่ไม่มีไฟ อย่าปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

ไม่เพียงแต่ว่าพวกเขาจะไม่สามารถย่างสเต็กได้ท่อนไม้เดิมที่แห้งพลอยจะเปียกไปด้วย เรือทองของท่านจะกลายไปเป็นฟืนเปียกในที่สุด

จากรูป สมมติว่าคุณพึ่งเริ่มต้นสร้างธุรกิจของตนเอง สมมติให้คุณเป็นเพียง “กิ่งไม้” แต่ว่าผู้ที่อุปถัมภ์คุณเข้ามา ในธุรกิจ เขาอยู่มานานกว่าและมีประสบการณ์มากกว่า สมมติให้เขาเป็น “ท่อนไม้” ท่อนไม้กับกิ่งไม้ก็สามารถสร้าง “เปลวไฟ” ได้แล้ว การมีใครบางคนอยู่กับคุณด้วยสามารถสร้างความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนมาก

ตอนที่ 10 แรงกระตุ้นและทัศนคติ

ให้ท่านเริ่มต้นเขียนคำว่า “แรงกระตุ้น” บนกระดาษ จากนั้นเขียนลูกศรชี้ลง อีกอันหนึ่งชีขึ้น ตามรูป แสดงให้เห็นถึงแรงกระตุ้น 2 ประเภท ขึ้น และ ลง

ให้ท่านเขียนใต้ลูกศรชี้ลงว่า “อ่างน้ำร้อน” ใต้ลูกศรชี้ขึ้นว่า “สม่ำเสมอ”

ภาพนี้หมายความว่า

แรงกระตุ้นลง เปรียนเสมือนการอาบน้ำร้อน ดูเหมือนกับว่าเมื่อท่านอาบน้ำร้อนยิ่งน้ำนั้นร้อนเท่าไหร่ ตัวยิ่งเย็นเร็วเท่านั้น

เพราะฉะนั้นผมเคยเห็นคนไปงานประชุมประเภทนี้ หลังจากนั้นเพียงแค่ 2 สัปดาห์เขากลับมาหดหู่เหมือนเดิม ที่เรียนไปจำอะไรไม่ได้เลย ทำไมเป็นแบบนั้นละ เคยสงสัยรึป่าว

คำตอบก็คือ งานดังกล่าวเขาให้กำลังใจ ตื่นตัวมากแต่ไม่มีใครบอกให้เขารู้ว่าเขาต้องทำอะไร อย่างไร โมติเวท กันอย่างเดียวเลย ไปออกไปลุยพวกเรา อัพไลน์ไม่ลงมาคอยสอนเลย

หรือไม่มาเป็นจุดยืนว่าทีมตัวเองได้รับการสอนแบบนี้หรือป่าวเห็นภาพไหม ต้องพูดเชิญคนยังไง เชิญคนมาแล้วต้องสปอนเซอร์ ต้องนัดเขายังไง พาเขาเริ่มต้นทำยังไงให้เขาอ่านตำราอะไร

เมื่ออัพไลน์ไม่เป็นจุดยืนอย่างนั้น คนยิ่งลงอ่างน้ำร้อนเท่าไหร่ยิ่งมอดเร็วเท่านั้นเพราะ เฮ้ยย ร้อนแล้วนะเฮ้ยย แล้วเอาไงต่อละ

นี่คือปัญหา ปัญหามาจากไหนล่ะ มาจากอัพไลน์ครับ ที่ไม่ยอมใช้เวลาที่ทีมงานตัวเองมีพลังโมติเวทเต็มที่หลังจากออกอีเว้นมาเข้าไปทำงานอย่างจริงจังกับเขา

แต่โอกาสแบบนี้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เพราะบริษัทเหล่านี้จะมีอีเว้นทุกๆ 1 เดือนหรือ 3 เดือน พาทีมงานเข้าอีเว้นให้มากที่สุด นัดหมายในการทำงานทันที วางแผนในการทำงานที่เวิร์ค

การไปงานสัมนาการพบปะกับผู้คนและก็ทีมงาน การอ่านหนังสือ การฟังเทปการใช้ผลิตภัณฑ์ การหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายเพิ่มเติม หรือแม้แต่การดูวีดีโอนี้ ที่ผมกำลังพูดอยู่

หรือ การอ่านหนังสือ การนำเสนอ 45 วินาทีก็เป็นแรงกระตุ้นประเภท อ่างน้ำร้อน นะครับ เป็นแรงกระตุ้นลง

ผมไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะครับ มันเป็นแรงกระตุ้นที่ดี ก่อนที่ผมจะพูดถึงแรงกระตุ้นขึ้น ผมขอพูดเรื่องทัศนคติก่อน

ให้ทุกท่านนึกภาพดูนะครับว่า ท่านกำลังจะไปพูดกับใครบางคนเกี่ยวกับธุรกิจของท่านโดยที่คนนั้นไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธุรกิจของท่าน เพราะฉะนั้นเขามีระดับทัศนคติเป็น 0

สมมุติว่าการที่ท่าน จะไปพูดกับใครให้ได้ผลท่านจำเป็นจะต้องมีระดับทัศนคติอย่างน้อย 50 หากทัศนคติของท่านต่ำกว่า 50 อย่าไปพูดกับใครเพราะเค้าจะถูกจุ่มลงลงไปกับเขาด้วย เดี๋ยวเรามาเช็คกันว่าทัศนคติ 50 เป็นยังไง

สมมุติว่าหลังจากที่ท่านนำเสนอธุรกิจไปแล้ว ผู้มุ่งหวังของท่านตื่นเต้นมากเค้าเซ็นใบสมัครและต้องการเริ่มต้นเดี๋ยวนี้เลย บอกมา บอกผมมาว่า จะต้องทำอะไร ผมรอไม่ได้แล้ว ผมอยากเปลี่ยนชีวิต

ระดับทัศนคติของเขาอยู่ที่ 65 เลยนะครับ เค้ากำลังจะรวยเค้าออกไปพูดกับผู้คนทันทีโดยที่เขาไม่เคยผ่านการอบรมอะไรมาก่อนเลยไม่มีใครสอนเค้า โชคร้ายเลยครับที่เขาออกไปเจอกับกิ่งไม้ที่เปียกน้ำ  

และเนื่องจากเค้าไม่รู้ว่าจะรับมือกับข้อสงสัยของคนอื่นหรือทัศนคติที่เป็นลบมากๆ ของผู้คนเหล่านั้นได้ยังไงทัศนคติของเขาจึงเป็นลบ

เพราะฉะนั้นท่านเข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมต้องใจเย็นๆช้าๆได้พล้าเล่มงามแต่ไม่ได้ช้ามากตัวท่านนั่นแหละต้องเป็นคนเร่งสปีดของกระบวนการในการสอนคนให้เร็วที่สุด

คราวนี้ทัศนคติของเค้าเป็นลบ แล้วก็สูญเสียความมั่นใจในที่สุด ออกไปกำลังร้อนเลยถูกเบรกหัวทิ่มกลับมาเลย แม้แต่ญาติ หรือว่าเพื่อนสนิท ที่ผู้มุ่งหวังของท่านไปคุยด้วย ยังอาจคิดว่าตัวเค้าเองกำลังจะถูกหลอกให้เซ็นใบสมัคร

เพื่อที่ผู้มุ่งหวังของคุณจะได้เงิน แทนที่จะคิดว่า ตนเองกำลังจะเซ็นใบสมัคร เพราะผู้มุ่งหวังของคุณกำลังจะช่วยเขาให้สร้างธุรกิจของเขาเอง 

อย่าลืมนะครับว่า สปอนเซอร์ที่แท้จริงผู้อุปถัมภ์ที่แท้จริงต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะช่วยผู้อื่นก่อนช่วยเหลือตัวเอง

และหลังจากที่ทัศนคติของเขาต่ำกว่า 50 ล่ะจะเป็นยังไงท่านจะไปพบเขาอีกครั้งพร้อมกับตอบคำถามและข้อสงสัยที่ผู้มุ่งหวังของท่านตอบไม่ได้ ทำให้ทัศนคติของเค้าดีขึ้น

เค้าอาจจะอยู่ที่ประมาณ 70 คราวนี้ระดับทัศนคติของเขาจะอยู่เหนือระดับ 50 นานกว่าเดิมเห็นไหมว่าตัวอัพไลน์ สำคัญแค่ไหนเมื่อทีมงานจิตตก เราต้องเข้าไปปรับทัศนคติ

การที่ท่านต้องการให้ทีมงานของท่านมีทัศนคติที่ อัพ อัพ อัพ อัพ ขึ้นไปท่านจะต้องใช้แรงกระตุ้นขึ้นหรือสม่ำเสมอนั่นเอง เพราะแรงกระตุ้นขึ้นนั้นเป็นแรงกระตุ้นที่คงที่สม่ำเสมอไม่มีขึ้นๆ ลงๆ

แรงกระตุ้นขึ้น คือ ท่านมีผู้อุปถัมภ์ของท่านหรือสปอนเซอร์ของท่าน เราจะใช้ตัวย่อว่า SP.

สปอนเซอร์ของท่านจะช่วยสปอนเซอร์คนห้าคนให้กับท่าน พาท่านทำ สังเกตนะครับว่าเมื่อท่านสปอนเซอร์คนห้าคนได้ท่านจะมี 25 องศา

เพราะข้างล่างแต่ละคน 5 องศาแต่ระวังอย่าสปอนเซอร์คนมากเกินกว่าที่ท่านจะทำงานด้วยได้ การทำงานด้วยนั้นหมายถึงการทำงานด้วยประสิทธิภาพห้าคนพอแล้ว

มันพิสูจน์มาแล้วครับว่า ค่าเฉลี่ยของคนบนโลกนี้ดูแลทีมงานได้ไม่เกินสี่ถึงห้าสายงานต่อเดือน

คราวนี้ถึงคิวของท่านครับที่ต้องไปช่วย 5 คนนี้อุปถัมภ์คนของเขา เพื่อให้เขามีคนละห้าคน แต่ 5 องศาของพวกเขาคือ 10 องศาของท่านนะครับ คนทุกคนในระดับที่สองของท่านมีค่าเท่ากับ 10 องศา

เห็นไหมครับเมื่อสปอนเซอร์สอนท่านให้ท่านสปอนเซอร์คน ได้ห้า คนในชั้นแรกของท่านมีระดับทัศนคติอยู่ที่ 5 องศาแต่เมื่อเขาสปอนเซอร์ ห้าคนของเขาซึ่งเป็นชั้นที่สองของท่านคนในชั้นที่สองของท่านมีค่าเท่ากับ 10 องศา

สังเกตดูขอแค่ท่านช่วยคนคนเดียวให้มีห้าเรือทองของเค้าเอง ท่านก็มีระดับทัศนคติสูงกว่า 50 องศาแล้ว

ดูสิตัวท่านเนี่ยมีคนอยู่ข้างใต้ท่าน 55 องศาเลยทีเดียวนะ จากคนแรกมีห้า อีกห้าคนของคนแรกคนละ 10 เป็น 50 + 5 นั่นหมายความว่าถ้าท่านต้องการทำให้ใครหรือแม้แต่ตัวเองมีทัศนคติที่อยู่เหนือระดับ 50 ท่านจะต้องมีทีมงานหนึ่งสายที่สายนั้นมีห้าคนอยู่ใต้เค้าเรียบร้อยแล้ว พูดง่ายง่ายคือมีชั้นที่สองห้าคนเรียบร้อยแล้ว

สังเกตดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไปหากท่านสอนให้เรือทองของท่านให้สอนให้เรือทองของเค้า ไปสอนคนอื่น

ระดับที่สามของท่านจะมีค่าเท่ากับ 20 องศา

ระดับที่สี่ของท่านจะเป็น 40 องศา

ยิ่งลึกเท่าไหร่ท่านยิ่งร้อนมากเท่านั้นตอนนี้ท่านเข้าใจแล้วหรือยังว่ายิ่งลึกยิ่งโต ยิ่งลึกยิ่งรวย

แต่ถ้าท่านไม่ลุกขึ้นมาสร้างทีมของท่าน ให้อยู่ในแนวลึกท่านก็จะค่อยๆ ตายกันไปเรื่อยๆ คนที่มีทัศนคติดีและเห็นภาพชัดเจนเท่านั้นที่จะอยู่

หนทางเดียวที่ท่านจะตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้ได้ดีที่สุดคือให้มันเกิดกับตัวท่านเอง เป้าหมายแรกของท่านเลยนะคือมีทีมงานที่ลึกลงไป

ชั้นที่สองอย่างน้อยมีห้าคน

เพราะฉะนั้นท่านจึงควรที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเรือทองของท่าน ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเขาพวกเขาจะตื่นเต้นมาก แล้วเขาจะไม่เลิกทำธุรกิจกับท่านอย่างแน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นนาย ก. อุปถัมภ์นาย ข. และนาย ข. อุปถัมภ์นาย ค. อยู่มาวันหนึ่งนาย ก.ได้รับโทรศัพท์จากนาย ค. ว่า

เขาออกไปอุปถัมภ์คนเอาจริงได้ห้าคนแล้ว ไม่เลวทีเดียวสุดยอดแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือทุกคนนับจากนาย ค. ขึ้นไปในสายงานนี้ จะตื่นเต้นหมดทุกคน

การที่ระดับความตื่นเต้นวิ่งขึ้นข้างบนแบบนี้เราจึงเรียกว่าแรงกระตุ้นขึ้นไง ท่านจำเป็นจะต้องช่วยเหลือคนของท่านให้ช่วยเหลือคนของเค้าอีกต่อไปเรื่อยๆ

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อท่านสปอนเซอร์ใครบางคนเข้ามาในธุรกิจ พวกเขาจะเป็นเรือเงิน เค้าตื่นเต้นก็จริงแต่ก็ยังไม่จริงจัง แต่ทุกคนอย่างน้อยต้องมีเพื่อนสักคนหนึ่งใช่ไหม?

ท่านต้องไปกับคนของท่าน แล้วก็ช่วยเค้าอุปถัมภ์เพื่อนเพื่อนของเขา ซึ่งอาจจะเข้ามาเป็นเรือเงิน อีกจงช่วยเหลือทีมงานต่อไปให้อุปถัมภ์คนเข้ามาในสายทางลึกต่อไปให้มันลึกลงไปอีก

สุดท้ายท่านจะต้องเจอเรือทองสักคนแหละ ในแนวลึกแบบรูปนี้ ท่านมาถึงปุ๊บท่านได้เรือเงิน เรือเงิน เรือเงิน 3 ชั้นเลย เสร็จแล้วท่านจะไปเจอเรือทองชั้นที่ 4 ข้างบนเป็นรางวัลหมดเลยนะ ท่านจะเจอเรือทองชั้นที่ 4

แล้วท่านก็ลงไปทำงานกับเขาอย่างจริงจังกระโดดไปทำงานกับเขาเลยสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากกระบวนการช่วยเหลือเรือทองลำนี้ เรือเงินข้างบนจะเปลี่ยนเป็นเรือทอง สุดยอดไหมครับ

นี่คือศิลปะธุรกิจเครือข่ายของพลังทวีคูณ ดีกว่าการขายของออนไลน์ ดีกว่าการขายคอร์สออนไลน์อย่างเดียว ดีกว่าการทำธุรกิจอย่างอื่นที่ไม่มีพลังทวีของทีม

และถ้าท่านทำงานกับเรือทองอย่างจริงจัง เรือเงินผู้ที่เป็นคนสปอนเซอร์เขาเข้ามา จะเจอเรือทองลำที่ 4 นะเมื่อเรือเงิน 3 ลำข้างบนเป็นคนสปอตเซอร์เข้ามา จะเริ่มเข้ามาสังเกต แล้วก็คิดว่า เฮ้ยย ฉันน่าจะทำอะไรสักอย่างแล้วนะ

ไม่มีวิธีไหนที่จะกระตุ้น ผู้คนให้ตื่นเต้นได้มากไปกว่าการที่มีใครบางคนใต้เขากำลังเอาจริงอยู่ นี่คือวิธีที่กระตุ้นคนทำให้คนในสายงานตื่นเต้นที่ทรงพลังที่สุดอันดับหนึ่งในธุรกิจเครือข่าย

นี่คือแรงกระตุ้นขึ้น เมื่อมีผลลัพธ์อยู่ข้างใต้ ข้างบนจะร้อนทันที

ท่านไม่ควรที่จะให้ผู้ที่ท่านพาเข้ามาในธุรกิจต้องพึ่งพาท่านเป็นระยะเวลายาวนาน ตัวของทีมงานเข้ามาก็ต้องพยายามเรียนรู้และพัฒนาตัวเองและเป็นอิสระจากอัพไลน์โดยเร็วที่สุด

เมื่อถึงจุดนี้คุณค่อยออกไปหาคนเอาจริงคนใหม่ต่อไป

ยกตัวอย่างเช่น สมมติคุณอุปถัมภ์นาย ก. เข้ามาในธุรกิจ คุณสอนนาย ก. ว่า “นาย ก. ครับ สมมติคุณเป็นดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์นั้นมีพลังงานสูงสุดกว่าทุกสิ่งที่เรารู้จัก” (พูดในทำนองชมเชยทางอ้อมเล็กน้อย)

แล้วคุณก็พูดต่อไปว่า “สมมติคนที่คุณอุปถัมภ์เข้ามาเหมือนกระทะใส่น้ำ” (อย่าเทียบตัวเองเป็นพระอาทิตย์ แล้วเทียบ นาย ก. เป็นกระทะใส่น้ำเข้าเชียวนะครับ)

ดังนั้นในกลุ่มของคุณ ก. ก็จะมีดวงอาทิตย์หนึ่งดวง คำถามครับ คุณว่าเมื่อไหร่น้ำในกระทะจะเดือด แม้ว่าคุณจะเอากระทะน้ำนี้ไปตั้งในทะเลทรายที่ร้อนที่สุดในปีนั้น น้ำก็ไม่เดือดหรอกครับ

น้ำต้องเดือดที่อุณหภูมิร้อยองศาเท่านั้น ไม่ใช่ 98 หรือ 99 มันต้อง 100 องศา

สมมติว่าทรรศนะคติของคุณเป็นร้อยองศาเลยนะครับ คุณสามารถพูดกับใครก็ได้เวลาไหนก็ได้เกี่ยวกับธุรกิจที่คุณกำลังทำอยู่ แต่คุณเองก็ไม่สามารถทำให้น้ำเดือดได้ ต่อให้ผู้ที่สปอนเซอร์คุณเข้าสู่ธุรกิจก็ทำ3ไม่ได้ครับ ไม่มีใครทำได้ ไม่มีแรงกระตุ้นแบบ “อ่างน้ำร้อน” ใดๆ จะทำให้น้ำเดือดได้

แม้ว่าผู้นำระดับสูงสุดของบริษัทคุณจะมาบรรยายในเมืองที่คุณอยู่ และคุณก็เข้าประชุมทุกครั้ง น้ำในกระทะก็จะไม่เดือด อย่างมากก็แค่ทำให้น้ำอยู่ในอุณหภูมิที่สูงกว่า 50 องศา แต่อย่าลืมนะครับผู้ที่อุปถัมภ์คุณเข้ามาจะช่วยคุณ

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือคุณรู้จักใครบางคนที่ผู้อุปถัมภ์คุณไม่รู้จักใช่ไหมครับ พาเขาไปกับคุณแล้วเขาจะช่วยคุณอุปถัมภ์เพื่อนของคุณ

เมื่อคุณอุปถัมภ์ใครบางคนได้ คุณกำลังเริ่มเผาก้นกระทะของคุณเองแล้วครับ เมื่อคุณอุปถัมภ์คนได้ 5 คนเมื่อไหร่ คุณจะมีเทียนห้าแท่งเผาไหม้กระทะของคุณอยู่ ห้าคน จำนวนคนที่เหมาะสมในการทำงานด้วย แต่ว่าน้ำก็ยังไม่เดือดนะครับ คุณมีแค่ 25 องศาเท่านั้น

แต่หากมีสามคนสร้างสายงานทางลึกได้สามชั้น

หรือมีสองคนสร้างสายงานทางลึกได้ 4 ชั้น

หรือมีเพียงคนเดียวสร้างสายงานทางลึกได้ 5 ชั้น น้ำก็จะเริ่มเดือด เพราะรวมกันได้ร้อยองศาแล้ว 

และเมื่อน้ำเดือดแล้ว ดวงอาทิตย์ (หรือผู้อุปถัมภ์) ก็สามารถจากไปได้โดยที่น้ำนั้นยังเดือดอยู่ เมื่อคุณแสดงบทเรียนนี้ให้กับใครบางคนไป แล้วคุณโทรหาเขา เขาจะเข้าใจเลยครับว่าคุณโทรมาเพื่อต้องการช่วยเขา มิได้ต้องการไปเร่งหรือกดดันเขา

คุณต้องการจะดูซิว่าจะสามารถจุดเทียนเล่มไหนได้อีกบ้างคุณต้องการช่วยให้น้ำของเขาเดือด ยิ่งคุณลงลึกเท่าไหร่ คุณจะยิ่งร้อนขึ้นเท่านั้น

ไม่จำเป็นว่าบุคคลแรกที่น้ำเดือดจะต้องเป็นคนแรกที่คุณอุปถัมภ์เข้ามาในธุรกิจนะครับ คนแรกที่เดือดคือคนแรกที่เอาจริงและสร้างองค์กรทางลึกของเขาเอง

ถ้าเนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่าน เราอยากทราบว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร เขียนความเห็นที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ท่านสามารถช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้คนได้โดยการแชร์บทความนี้ออกไปเยอะๆ นะครับ

แด่ความสำเร็จของท่าน

วิธีเชิญชวนคนมาดูโอกาสธุรกิจเครือข่าย MLM ที่ทำแล้วได้ผลดีเยี่ยม

วิธีเชิญชวนคนมาดูโอกาสธุรกิจเครือข่าย MLM ที่ทำแล้วได้ผลดีเยี่ยม

ถ้าท่านไม่ต้องการเจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธและล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ให้กับธุรกิจเครือข่ายของท่านอีกต่อไป และต้องการรู้วิธีดึงดูดผู้คนให้เข้ามาขอสมัครทำธุรกิจกับท่านเอง คลิกที่นี่

วีดีโอ “วิธีชวนคนมาดูโอกาสธุรกิจเครือข่าย MLM”

หนังสือเสียง “วิธีชวนคนมาดูโอกาสธุรกิจเครือข่าย MLM”

การเชิญคนมาดูโอกาสทางธุรกิจ คือ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งในการ “สร้างองค์กรธุรกิจเครือข่ายให้มีขนาดใหญ่และประสบความสำเร็จ!”

ถ้าท่านกำลังสร้างธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจขายตรง  ประกันชีวิต ที่จำเป็นที่จะต้องสปอนเซอร์ หรือเชิญคนเข้ามาดูโอกาสทางธุรกิจ

เพื่อที่จะได้สมัครทำธุรกิจ เพื่อที่จะเป็นหุ้นส่วนกับท่านแล้วละก็ การเชิญคนมาดูโอกาส คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ท่านเจอในการเริ่มต้นสร้างธุรกิจเหล่านี้ใช่ไหมครับ 

เพราะถ้าท่านเชิญคนเข้ามาดูโอกาสไม่ได้ ก็ไม่มีใครสมัครทำธุรกิจกับท่านอย่างแน่นอน เห็นด้วยไหมครับ

สารบัญเนื้อหาวีดีโอ “วิธีชวนคนมาดูโอกาสธุรกิจเครือข่าย MLM”หนังสือเสียง “วิธีชวนคนมาดูโอกาสธุรกิจเครือข่าย MLM”การเชื้อเชิญคนมาดูโอกาสทางธุรกิจตั้งคำถามให้เป็นพูดให้น้อย และพูดความจริงปรับแนวคิดในการชวนคนทำอย่างไรเมื่อโดนปฏิเสธ

วันนี้ผมจะแบ่งปันวิธีการเชิญคนเข้ามาดูโอกาสทางธุรกิจ ธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจออนไลน์ ธุรกิจขายตรง  ประกันชีวิต ธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ที่จำเป็นจะต้องสร้างทีม หรือ สปอนเซอร์คนเข้าร่วมธุรกิจ  หรือแม้แต่อยากจะขายของให้ได้ นี่คือสุดยอดวิชา สุดยอดธุรกิจ  สุดยอดโอกาสที่จะทำให้ท่านสร้างธุรกิจให้เกิดผลลัพธ์

คนจำนวนมากมี Mind set ที่ไม่ถูกต้องในการเชิญคนมาดูโอกาส ข้อมูลวันนี้จะทำให้ท่านเห็นวิธีการ เอาไปใช้แล้วเกิดผลลัพธ์ทันที

คนที่ไม่เข้าใจการเชิญคนที่เวิร์คนั้น เขาจะไม่มีวันประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายในระยะยาวได้เลย ที่แบบระยะสั้น รับเงินก้อนใหญ่ แล้วธุรกิจไปต่อไม่ได้ เราไม่นับว่าประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย เพราะธุรกิจเครือข่าย ขายตรง ประกันชีวิตที่ต้องสร้างทีม มันต้องสร้าง Passive Income ที่ไม่ทำก็ยังได้เงิน มีเงินงอกเงยทุกๆเดือน

การเชื้อเชิญคนมาดูโอกาสทางธุรกิจ

เรามาเริ่มกันเลยนะครับ ตอนนี้เป็นตอนที่ 3 ท่านยังไม่ได้ดูตอนที่ 1 และตอนที่ 2 แนะนำให้ดูก่อนนะครับ เพื่อความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

ตอนที่ 3  การเชื้อเชิญคนมาดูโอกาสทางธุรกิจ เราจะเรียกว่า การเชิญบุคลที่ 3 

ข้อมูลในวันนี้เป็นข้อมูลที่ผมไม่ได้คิดเอง มันมาจากหนังสือ 10 Napkin หรือ การนำเสนอ 45 วินาที  ขั้นนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

ถ้าท่านสปอนเซอร์คนไม่ได้ องค์กรท่านไม่โต ไม่มียอดขาย ไม่มียอดธุรกิจ สินค้าปล่อยไม่ได้ ไม่มีรายได้  เราจะต้องโฟกัสไปในเรื่องเชื้อเชิญบุคคลที่ 3

มันคืออะไร มันคือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ท่านจำเป็นจะต้องทราบว่ามันคืออะไร และ มันทำอย่างไร

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าผมรู้จักกับเพื่อนของผม ชื่อสมชาย ผมอยากจะสปอนเซอร์เขา สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะให้ท่านคิดตาม คือ คนส่วนมากพอไปถึง และยังไม่ได้รับการสอนมาก่อนก็จะเข้าไปชวนเลย

สมชายฉันมีธุรกิจใหม่ สุดยอด เดี๋ยวเราจะรวยเป็นล้านกัน เดี๋ยวมาสมัครแล้วทำกันเลย แกอยากทำกับฉันไหม แกอยากมีชีวิตที่ดีไหม

สมชายก็จะถอยเลย กลัว เอ๊ะ อะไรเหรอ อะไรๆ สมชายก็จะแบบ อืม มาเป็นชุด ไปทำกันเถอะเรารวยแน่นอน แล้วเราก็คาดหวังว่าสมชายจะตอบว่า ทำแน่นอน เพราะเราตื่นเต้นมากและเราก็ชวน แล้วเราก็พูดในสิ่งที่เราคิดว่ามันเวิร์ค

แต่สิ่งที่ได้กลับมามากกว่า 95-97% สมชายจะพูดว่า คิดดูก่อน หรือ ไม่สนใจ   ท่านได้ผลลัพธ์แบบนี้รึป่าว ???

นั้นเป็นเพราะคนที่ไปชวนนั้นยังไม่มีทักษะในการชวนคนที่เวิร์ค  ถ้าเป็นผม แล้วเรียนรู้วิธีการที่เวิร์คแล้ว ผมจะไม่เข้าไปหาสมชาย แล้วพูดแบบเมื่อกี้ 

หรือว่า พุดว่า “สมชาย คุณอยากมีรายได้เพิ่มไหม”  ผมจะไม่พูดแบบนี้เด็ดขาด จะไม่ถามเขา เหมือนให้เขาเป็นบุคคลที่ 2 ผมเป็นบุคคลที่ 1 กำลังถามบุคคลที่2 ว่า เฮ้ยยย  a b c x y z อยากมีรายได้เพิ่มไหม ถามตรงๆเราจะไม่พูดแบบนั้น เพราะถ้าเขาตอบมาว่า “โอ้ ผมต้องการรายได้เพิ่มใจจะขาด” คนที่เราไปถามนั้นเขาจะรู้สึกเสียหน้าทันที

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยของเราที่มีเรื่อง ยศฐา บันดาศักดิ์ ติดมาตั้งแต่อดีต เรื่องหน้าตาสำคัญมาก ไม่มีเงินไม่เป็นไร ต้องแต่งตัวดี ดูดี

เพราะฉะนั้นสมชายจะไม่บอกว่า “โอ้ ผมต้องการรายได้เพิ่มใจจะขาด” เพราะเขาจะรู้สึกเสียหน้าทันที และรู้สึกดูไม่ดี ถ้าท่านไปถามเขา ใครบ้างไม่อยากมีรายได้เพิ่ม

ผมจะทำให้ท่านได้เห็นว่าธรรมชาติของมนุษย์ 99.99% ต้องการรายได้เพิ่มขึ้นทั้งสิ้น แต่ถ้าเราไปถามตรงๆ หรือโดนถาม ธรรมชาติแล้วเราจะกลัวดูไม่ดี กลัวคนรู้ว่าฉันมีปัญหาเรื่องเงิน 

เราไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเรามีปัญหาเรื่องเงิน ถึงแม้ว่าหนี้ยังไม่พอจ่าย เงินเดือนชนเดือน  เขาจะตอบกลับมาว่า “ไม่หละครับ ขอบคุณมาก” ทั้งๆที่ใจอยากรู้แต่เพราะเราถามไม่เป็น

ตั้งคำถามให้เป็น

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่เรา เพราะเราไม่เข้าใจมนุษย์

ธุรกิจเครือข่ายหรือทุกธุรกิจบนโลกนี้ สำคัญมากเราจะต้องเข้าใจพฤติกรรม ความคิด การกระทำ ของมนุษย์ ถ้าท่านเข้าใจท่านจะเอาชนะได้ทุกตลาด

แต่ถ้าท่านไม่เข้าใจ ทำอะไรก็ขายไม่ได้ ชวนไม่ได้ ถ้าท่านเข้าใจว่าคนกลัวเสียหน้า กลัวดูไม่ดี แล้วท่านจะทำสิ่งนั้นทำไมถ้ามันทำให้คนตอบรับน้อย

ทำไมท่านไม่ทำในสิ่งที่คนตอบรับมากๆ และไม่ทำให้เขารู้สึกว่า เขาดูไม่ดี เพราะฉะนั้นคนส่วนมากจะมีทัศนคติอย่างที่ผมบอก

แต่สิ่งที่ผมจะทำก็คือ ผมจะเข้าไปหาสมชาย และถามสมชายว่า

“สมชาย ผมพึ่งเริ่มธุรกิจของตัวเองและผมตื่นเต้นมาก บางทีคุณอาจช่วยผมได้ คุณพอจะรู้จักใครบ้างไหม ที่อยากมีรายได้เพิ่ม หรือ สนใจที่จะเริ่มธุรกิจที่สอง” นี่คือบทสนทนา หรือ คำถามที่เวิร์ค

คนที่ทำธุรกิจเครือข่ายใหม่ๆจะไม่เข้าใจว่า เราจะต้องเริ่มต้นด้วยคำถามเสมอ เขาจะยัดเหยียดข้อมูล ขาย ขาย ขาย ทั้งที่ได้รับการเตือนแล้วอย่าขาย

แต่เขาพูดไม่เป็นไม่มีใครสอนเขาไง พอเขาไปถึงเขาก็เลย แนะนำๆ เชิญๆ ชวนๆ และก็สอนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆทำแบบนี้มันจะโต ยั่งยืนได้ยังไง

ในเมื่อสอนให้ทีมงานไปเจอของยากตลอด ดูสคลิปนี้และฝึกพูดไปพร้อมๆกัน “สมชาย ผมพึ่งเริ่มธุรกิจของตัวเองและผมตื่นเต้นมาก บางทีคุณอาจช่วยผมได้ คุณพอจะรู้จักใครบ้างไหม ที่อยากมีรายได้เพิ่ม หรือ สนใจที่จะเริ่มธุรกิจที่สอง” นี่คือคำถาม ถามหาบุคคลที่ 3 ผมไม่ได้เจาะจงไปที่สมชายเลย

ผมถามถึง คุณพอจะรู้จักใครบ้างไหมที่มีรายได้เพิ่ม เห็นไหมครับว่ามันไม่ได้จี้ไปที่เขา แล้วทำให้เขาอึดอัด หาทางออกไม่ได้ และธรรมชาติของคนที่เคยหรือไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ท่านจะเจอคำตอบเคยทำมาแล้วและไม่อยากทำ

ท่านจะต้องทำให้เขาค่อยๆ เปิดใจทีละนิด ทุกคำถามที่เราถามจะเป็นการแง้มใจเขาออก พอเปิดปุ๊ปท่านถึงค่อยเจาะใจเขาได้ แต่ปัญหาคือถ้าไปชวน แล้วไปขายเลย ท่านจะไปเจาะใจเขาได้ยังไง

เอาไปลองฝึกทำดู พูดคำถามนี้กับ 10 คนในชีวิต คนแปลกหน้า ทดสอบ ทดลองตลาด ไม่ต้องการผลลัพธ์ใครทำขอให้รวย ขอให้ประสบความสำเร็จ  

แค่พูดบทสนทนานี้ สั้นๆ “คุณพอจะรู้จักใครสักคนไหม ที่อยากได้รายได้เพิ่ม” แล้วสังเกตปฎิกิริยาเขา มันจะตอบอะไรท่านหลายๆอย่าง และคนส่วนใหญ่จะตอบกลับมาว่า “มันคืออะไรเหรอ”

เหตุผลที่เขาถามกลับมาว่า มันคืออะไรเหรอ แทนที่จะตอบกลับมาว่า รู้ ไม่รู้ หรือ รู้จัก ไม่รู้จักให้ตรงคำถาม เป็นเพราะว่าเขารู้จักใครบางคนที่ต้องการมีรายได้เพิ่มเป็นอย่างดี และคนผู้นั้นคือ “เขานั้นเอง “ เขาอยากรู้ข้อมมูลเพิ่มว่าท่านกำลังพูดถึงอะไร เพื่อที่เขาจะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

เมื่อเขาถามว่า “มันคืออะไรหรอ” สิ่งที่ท่านต้องทำคือ “งดพูด” อย่าเพิ่งพูดอะไร ยิ่งทำให้เขาสงสัย หัวใจสำคัญที่สุดในการสร้างธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ คือ การงดพูด เพราะเราจะหลง ลืมตัว พูด พูด พูด คือเราคิดว่า ยิ่งเราพุดมันยิ่งช่วยให้เขาอยากทำกับเรามากขึ้น ผมบอกเลย ไม่ใช่  

ตั้งสติก่อนนะครับ ถ้าท่านไปชวนคนทำธุรกิจ แล้วเขามีท่าทีลังเล สงสัย  แล้วท่านยิ่งพูดเพิ่มขึ้น ยิ่งเพิ่มโอกาสที่เขาจะไม่ทำกับท่านมากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามเวลาที่เจอคนไม่สนใจยิ่งพูดเยอะ ยิ่งเขาไม่สนใจยิ่งติดตามผลเยอะ

อันนั้นสวนทางเลยเป็นวิธีที่ผิด ที่ไม่เวิร์ค เพราะว่ามันจะทำให้ เอาง่ายๆ ยิ่งท่านพูดมากขึ้นหรือไม่ก็แบบจับเขานั่งลงแล้วพรีเซ้นต์ หรือพูดไม่หยุด ทั้งที่ท่านไม่เคยถามเขาเลยว่าอยากฟังไหม ดูไหม ในขณะที่ผู้มุ่งหวังยังไม่รู้เลยฉันมาทำอะไรที่นี่ ถามฉันบ้างไหมว่าฉันอยากดู อยากฟังไหม

พูดให้น้อย และพูดความจริง

หลายๆบริษัทอบรมผู้จำหน่ายเลยครับ  ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ซึ่งการกระทำแบบนี้ผู้มุ่งหวังจะเสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก คิดว่าท่านหลอกเขามา คือ ท่านไม่พูดอะไรเลย ลากเขาดูเลย หรือแม้แต่บางคนหลอกให้มาดูแบบ พวกเราเดี๋ยวไปกินข้าวกัน เดี๋ยวแวะตรงนี้หน่อย แล้วก็นั่งลง แล้วก็ยัดเยียด นี่เป็นวิธีการที่สิ้นคิด

ทำไมอัพไลน์ไม่เรียนรู้สักหน่อย แล้วก็สอนสิ่งที่เวิร์ค มันทำให้เขาสูญเสียความสัมพันธ์กับคนที่เขาเชิญมาเลยนะครับ ความสัมพันธ์อาจจะมีมา 10 20 30 ปี

จะเป็นเพื่อนกินหรือเพื่อนตายก็เถอะพอรู้ว่าท่านหลอกมาฟังอะไรก้ไม่รู้ ทั้งๆที่ท่านควรจะพูดตรงๆ ท่านว่าแค่จะสร้างธุรกิจจำเป็นต้องทำอะไรขนาดนี้ไหม หลอกเลยเหรอ ทั้งๆที่ท่านไม่รู้ว่าหลอก

แต่ท่านถูกคนที่ชวนท่านทำธุรกิจ บอกให้ทำวิธีนี้ แล้วท่านก็ทำ แล้วท่านไม่รู้หรอกว่าคนที่ถูกชวนมาโดยไม่บอกอะไรเลยเนี้ย เสียความรู้สึกแค่ไหน ใครบ้างเคยโดนชวนแบบนี้ ไปแล้วเสียความรู้สึก

ผมเคยโดน ขนาดว่าทำมา 15 ปี มีคนรู้จักเชิญมากินข้าว อยากพูดคุย อยากปรึกษาเรื่องธุรกิจด้วยแล้วก็เชิญผมไป ซึ่งธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจที่ดีมาก แล้วก็เชิญให้ไปคุยกับอัพไลน์ใหญ่ของประเทศ ผมไปถึง ก็ งง เอ๊ะอะไร  ไหนบอกกินข้าวไง แล้วมาเชิญผมนั่งลง แล้วก็หัวเราะ แฮร่ๆ แนะนำให้รู้จักอัพไลน์  

ผมก็รู้จักเขาอยู่แล้วแหละ แล้วไงอะ ผมไม่ได้อยากมานั่งฟัง ผมอยากมาเจอ มาช่วยเขา ผมต้องนั่งฟัง 1 ชั่วโมงกว่า พุดอะไรก็ไม่รู้ ผมเป็นคนมีมารยาท และ ให้เกียติ สุดท้ายเขาไม่ได้ ความไว้ใจจากผมอีกเลย ตลอดชีวิต ไม่มีทางจะเชิญผมได้ และผมไม่ฟังอะไรจากเขาอีกเลย

คุณไม่จำเป็นต้องฟังแบบนี้กับผม พูดตรงๆก็ได้ ผมทำมาตั้ง 15 ปี ผมรู้ว่าอะไรคืออะไร นี่คุณหลอกเนียนมากเลย ต้องการความช่วยเหลือ ผมก็รีบไปเลย เขามีปัญหาต้องการความช่วยเหลือ ผมก็โอเค  เห็นภาพไหมครับ มันไม่เวิร์คด้วยประการทั้งปวง และสูญเสียความเชื่อถือ เชื่อใจ ไปเลย อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด อ้าวววว แล้วต้องทำยังไง

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านทำแบบนั้น ผู้คนจะจากท่านไปพร้อมคำว่า “ไม่” และเป็นภาพลบให้กับธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจเครือข่ายมีความเสียหาย เพราะมีคนทำแบบนี้ เลยเกิดผลลัพธ์แบบนี้ ให้กับธุรกิจไง

เรามาช่วยกันปฎิวัติ เรามาช่วยกันทำให้ธุรกิจเครือข่ายมันดีขึ้นด้วยการ เพิ่มทักษะในการตลาดที่เวิร์ค เข้าใจผู้คน ทำการตลาดให้ถูก วางตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ ช่วยเหลือผู้คน ไม่ใช่จะเอาแต่ยัดเยียดขาย  อยากได้เงินเขา ไม่ใช่

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านจำเป็นจะต้องทำหลังจากที่เขาถามว่า มันคืออะไรเหรอ คำตอบของท่านก็คือ “คุณรู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายบ้างไหม”

เขาอาจจะตอบว่ารู้ หรือ ไม่รู้ ถ้าเขาตอบว่ารู้ ให้ถามเขาว่า เขารู้อะไรเพื่อเช็คดูว่าเขารู้จริงรึป่าว เพราะนี่เรียนมาแล้วนี่ไง 1 2 3 4 ตั้งแต่ธุรกิจมี 5 แบบ 2×2 การขยายเชิงลึกดีกว่าหน้ากว้าง เพราะฉะนั้นท่านจะต้องพออธิบายได้บ้าง ถ้าท่านอธิบายไม่ได้ท่านก็ซื้อหนังสือ หรือ เอาหนังสือให้เขา เมื่อเราถามแล้วเราจะทราบทัศนคติของเขาที่มีต่อธุรกิจเครือข่าย ให้เรา

  • พูดคุยถึงเรื่องทั่วๆไป เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย (ขอให้นำบทที่ 1 Introduction to MLM ไปใช้ในการพูดคุย)
  • ชี้ให้เห็นถึงผลประโยชน์ที่ได้จากการมีส่วนร่วมในธุรกิจเครือข่าย
  • พูดถึงหลักการพลังทวีคูณในตอนที่ 1 (2×2 = 4 )
  • ถ้าเขาสนใจคุณอาจมอบหนังสือเล่นนี้ให้กับเขา แล้วบอกเขาให้อ่านบทที่ 1 – 4 ก็ได้ หรือส่งคลิปก็ได้

แล้วเขาจะเห็นภาพหมดเลยว่าเป็นสุดยอดธุรกิจ ทำแล้วมันร่ำรวยได้จริง เพียงแต่ว่าผู้คนน้อยมากที่จะทำ ถ้าเขากลับมาด้วยความสนใจที่อยากจะรู้ต่อ ให้ท่านนัดหมายกับเขาให้มาฟังข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่ท่านเป็นตัวแทนอยู่ ฟังแผนรายได้ ฟังสินค้า ฟังระบบ งานที่ท่านมี 

คุยให้เขาเข้าใจว่ามันใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้นในการเล่าเรื่องราวทั้งหมด อย่าพยายามเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านรู้ ขณะที่เขากำลังเติมน้ำมันให้ท่าน หรือเขากวาดขยะ หรือว่าเขากำลังทำงาน หรือ ว่าเขาอยู่ในสายโทรศัพท์กับท่าน อย่าทำแบบนั้นเด็ดขาด

ปรับแนวคิดในการชวนคน

คนส่วนใหญ่กลัวที่จะพูดกับคนอื่นเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย ท่านกลัว กังวล และท่านไม่รู้จะพูดอะไร ยังไงให้เวิร์คไม่เคยฟังผมแบ่งปันมาก่อน

ผมจะบอกวิธีการในการพุดคุยกับคน วิธีสื่อสาร ผมจะให้ท่านได้รู้ถึงวิธีคิดของการเป็นนักธุรกิจเครือข่ายที่ประสบความสำเร็จให้ฟัง

นี่คือวิธีคิดอย่างไรให้รวย แล้วถ้าท่านทำได้แบบนี้ คิดได้แบบนี้ รวยแน่นอนการันตี

แต่ถ้าคิดไม่ได้ ฟังผมแบ่งปันต่อไปนี้แล้วคิดได้ ไม่สามารถเอาไปปรับใช้ได้ ยังคิดเหมือนเดิมไม่มีวัน ยาก

ถ้าท่านไม่สามารถถ่ายทอดไปให้องค์กรท่านด้วย เพราะท่านยังกลัวเองเลย ท่านจะไม่สอนให้เขาทำอย่างที่ท่านทำ ท่านต้องคิดให้เป็นว่ามันคือธุรกิจมันไม่เกี่ยวอะไรกับท่านเลย

คนส่วนใหญ่กลัวที่จะพูดกับคนอื่นเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย และก็แนะนำให้กับผู้มุ่งหวังของเขารู้จักกับบริษัทที่เขาเป็นตัวแทนอยู่ คนส่วนใหญ่ที่กลัวนั้น กลัวที่จะได้ยินคำว่าไม่ No ไม่เอา ไม่สนใจ ไม่ทำ เคยทำแล้ว อย่ามาชวน หรือ เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความกลัวที่จะถูกปฎิเสธ นั้นเอง เพราะฉะนั้นผมขอยกเหตุการณ์สมมุติเหตุการณ์หนึ่งให้กับทุกๆท่านได้อ่าน

สมมุติว่า มันมีงานเต้นรำของนักศึกษาจบใหม่ ที่ผู้ชายผู้หญิงจับคู่กันไปเต้นรำ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แล้วท่านก็เป็นเด็กผู้ชาย คนหนึ่ง เพิ่งเคยไปงานเต้นรำเป็นครั้งแรก

แล้วท่านก็ตื่นเต้นมาก มันเป็นงานที่ไม่เคยเข้ามาก่อน เหมือนท่านกำลังเข้ามาในธุรกิจเครือข่าย มันตื่นเต้น มันสวยงามไปหมด มันต้องรวยแน่ๆ และท่านเข้าไปคงจะมีคนเต้นรำกับฉันเต็มไปหมดเพราะวันนี้ฉันคือ เจ้าชายสุดหล่อ จะแต่งตัวหล่อที่สุดในชีวิต

แล้วก็เดินไปหาเด็กผุ้หญิงคนหนึ่งที่เขาหมายตาไว้ น่ารักจังเลย สวยจังเลย เหมือนที่ท่านหมายตาว่าคนนี้คือผู้มุ่งหวังคนที่ใช่ แล้วก็ขอเต้นรำกับเธอ ผลปรากฏว่าเธอ ปฎิเสธ ช๊อคไหมครับ นี่แหละ เพราะเราคาดหวังว่า เขาจะตอบว่า เยส แต่สิ่งที่ได้คือ โน

เด็กผู้ชายคนนี้ก็เลยหันหลังกลับ พร้อมกับความคิดว่า “ฉันโดนปฎิเสธ”  จากนั้นเขาก็ไม่เคยขอเด็กผู้หญิงคนไหน ในงานที่เหลืออีกประมาณ 1000 คนเต้นรำอีกเลย

โดนคนเดียวปฎิเสธ ไม่ขอใครอีกเลย เพราะคิดว่าโดนปฎิเสธ เขาคงจะรู้สึกว่า ขนาดที่ว่าทุกคนในห้องมองเห็นเขาโดนปฎิเสธ และ เขาก็รู้สึกเสียหน้า จริงๆไม่มีใครมองเห็นเขาหรอก คิดไปเอง

โดนคนที่คาดหวังว่าจะทำ ปฎิเสธ เลยรู้สึกเสียหน้า เสียกำลังใจ และรู้สึกว่า ไม่อยากโดนปฏิเสธอีก เพราะไม่มีใครชอบโดนปฏิเสธหรอก เห็นด้วยไหมครับ

ท่านก็ไม่ชอบ ผมก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นท่านต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ก่อน ว่า คิดใหม่นะ เพราะถ้าหากเด็กผู้ชายคนนี้ เดินไปถามเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ อยู่มุมโน้น มุมนี้ และก็คนอื่นๆ และสุดท้ายแล้วเด็กผู้ชายคนนี้ จะได้เต้นรำกับเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ บ้างไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเขาต้องการเต้นกับ 5 คน คนที่อยากเต้นกับเขาเท่านั้น

เพราะว่าในบทก่อนหน้านี้ต้องการแค่ 5 คนจริงจังใช่ไหม ท่านว่าได้ หรือ ไม่ได้ ถ้าเขาถามทุกคนเลยว่าเต้นรำกับผมไหมครับ เหมือนกันรู้จักใครบ้างไหมที่อยากมีรายได้เพิ่ม รู้จักบ้างไหม แค่นั้นเอง  ยังไงก็ต้องได้

เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะให้ทุกๆท่านเอาชนะความกลัวที่จะโดนปฎิเสธ ผมอยากให้ทุกท่านได้เปลี่ยนความคิดของตัวเองเพื่อที่ท่านจะสามารถคุยกับคนอื่นให้ได้มากขึ้น การที่จะทำเช่นนี้ให้ท่านนึกถึงว่าตัวเองอยู่ที่ท่าเรือ

ท่านกำลังรอให้เรือของท่าน เข้ามา เพราะท่านเพิ่งจะส่งมันออกไป คือท่านเพิ่งถามคำถามนั่นเอง ถ้าท่านส่งเรือออกไปหนึ่งลำแล้วมันกลับมาด้วยความว่างเปล่ามันจะมีประโยชน์อะไรล่ะเห็นด้วยมั้ยครับท่านจะต้องส่งเรือออกไปปริมาณหนึ่งครับ

ยิ่งท่านส่งเรื่องออกไปมากเท่าไหร่ท่านก็ยิ่งมีโอกาสที่จะได้รับเรือพร้อมทองคำกลับมาเต็มเรือมากเท่านั้น

เรือทองที่ท่านต้องการร่วมงานด้วย กำลังจะเข้ามาหาท่าน แต่ถ้าท่านไม่เคยปล่อยเรือลงน้ำเลยแม้แต่ลำเดียวนั่นแปลว่าไม่เคยมีอะไรเลยในจิตใต้สำนึกที่ทำให้ท่านรู้สึกเจ็บปวดเลย

ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีมากแต่มันดีมากยิ่งขึ้นหรือเปล่าว่าถ้าผมการันตีว่าท่านจะไม่มีทางเจ็บปวดจากวิธีที่ผม ได้แบ่งปันแม้แต่ครั้งเดียวท่านจะรู้สึกกล้าที่จะปล่อยเรือลงน้ำมากขึ้นก็คือกล้าที่จะถามคำถามมากขึ้นไหม

เพราะถามไปแล้วถ้า ไม่มีการตอบกลับว่าอยากดูสนใจอยากทำนี่ผมรวมไปถึงการสปอนเซอร์คนให้ดูโอกาสทางธุรกิจแล้วเค้าตอบปฏิเสธด้วยนะ

ถึงตอนนั้นเลยนะ เข้ามาแล้วบอกไม่เอา เพราะฉะนั้นท่านลองสังเกตวิธีในการปล่อยเรือที่ผมแบ่งปันนี้ครับ

ในการชวนคนนั่นแหละหากท่านถามใครบางคนว่า คุณรู้จักใครบ้างไหม ที่อยากจะมีรายได้เพิ่มแล้วถ้าเค้าตอบว่าไม่ครับผมไม่รู้จักใครเลยคนเดียวก็ไม่รู้จัก

ท่านสามารถพูดได้ว่า ไม่เป็นไรครับแต่ถ้าหากท่านบังเอิญพบใครที่ อยากมีรายได้เพิ่มบอกให้เขาติดต่อกลับมาหาผมนะครับแล้วก็ยื่นนำบัตรของท่านให้ไป หรือส่งลิ้งค์ของท่านให้ไป

เมื่อท่านทำแบบนี้ท่านก็หลีกเลี่ยงการโดนปฏิเสธได้แล้วแม้ว่าท่านจะทำในสเต็ปที่หนึ่งคือถามว่ารู้จักใครบ้างไหมเค้าบอกว่าไม่ผ่านก็บอกเลย ถ้าเจอใครที่อยากมีรายได้เพิ่มให้แอดเข้ามาในกลุ่มนี้นะหรือให้รับข้อมูลผ่านตรงนะถ้าเป็นเค้าก็พาเขาเข้ากลุ่ม

เพื่อที่เขาจะได้เห็นข้อมูลเรื่อยเรื่อยแต่ถ้าหากว่าขั้นตอนแรกเค้าบอกอยากดูแต่เค้ามาดูโอกาสทางธุรกิจแล้วดูแผน ดูสินค้าดูบริษัทแล้วแล้วเค้าบอกไม่ทันก็แค่บอกว่าไม่เป็นไรครับ

ถ้ารู้จักใครที่อยากจะมีรายได้แบบนี้บอกผมนะครับนี่สินค้าที่เรากำลังจะทำการตลาดกระจายไปทั่วประเทศถ้าผมทำสำเร็จผมน่าจะมีรายได้เดือนละ 1,000,000 ถึง 3,000,000 บาทต่อเดือน

และเหตุผลที่ผมบอกคุณก็เป็นเพราะว่าผมไม่อยากให้คุณมาว่าผมเมื่อตอนที่ผมประสบความสำเร็จจนมีรายได้เดือนละ 3,000,000 ว่าทำไม ไปเจออะไรดีดีแล้วไม่บอกผมนี่ผมบอกคุณแล้วนะให้คุณเห็นหมดทุกอย่างเลยแต่ว่าถ้าคุณไม่เห็นโอกาสหรือว่าคุณคิดว่ามันไม่ใช่สำหรับคุณจริงๆ

ทำอย่างไรเมื่อโดนปฏิเสธ

ผมก็ไม่มีอะไรที่จะแบ่งปันอีกเอาสินค้าไปทดลองใช้แล้วให้ฟิตแบคหน่อยนะว่าดีไหมว่าผมจะขยายได้ไหมแล้วก็ค่อยส่งระบบติดตามให้เขาและเชิญเขาเข้ากลุ่มหรือไม่ก็ทำให้เค้าเห็นข้อมูลว่าคุณพัฒนาขึ้นมีรายได้มากขึ้น

คนพวกนี้ทุกคนอยากอยากมีรายได้ทุกคนแต่เค้าเรียกว่า มีอีโก้มีการเป็นที่แบบไม่อ่ะฉันสบายดีแต่จะมีอะไรการันตีว่า 6 เดือนธุรกิจเขาจะไม่มีปัญหา ลูกจะไม่ต้องการมีรายได้เพิ่มขึ้น คนในบ้านจะไม่เจ็บป่วย เรื่องการเงิน

สุดท้ายแล้วเมื่อท่านเจริญเติบโตร่ำรวยมั่งคั่งเดี๋ยวเค้ากลับมาหาท่านเองท่านจะต้องเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ในระยะยาว

นี่คือวิธีการคิดของผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจไม่ว่าใครทุกคนการัน

ตีคำถามสำคัญคือท่านคิดว่าตัวท่านเองสามารถพัฒนาทักษะทัศนคติแห่งความสำเร็จนี้ได้หรือไม่

แค่เปิดโอกาสให้กับผู้คนผมจะบอกวิธีการที่เหนื่อยิ่งกว่านี้ เคลียร์ตรงนี้ก่อนเพราะเมื่อท่านพูดอย่างที่ผมบอกเมื่อกี้นี้ผมเชื่อว่าท่านอยากฟังบทสนทนาเมื่อกี้อีกหลายรอบเลยว่า

เฮ้ยสมชายขอบใจมากเลยนะที่มาดูโอกาสซึ่งเราก็บอกนายแล้วไงตั้งแต่แรกแล้วว่ามันอาจจะเหมาะหรือไม่เหมาะกับนายก็ได้แล้วตอนนี้นายบอกว่าไม่เหมาะไม่มีปัญหาเลย

ที่เราบอกนายเพราะว่าเราอยาก ให้นายได้รู้ตอนนี้ดีกว่ามาว่าเราทีหลังว่า เฮ้ยเรามั่งคั่งร่ำรวยแล้วซื้อบ้านใหม่ซื้อรถใหม่มีเงินเต็มบัญชีแล้วนายจะมาต่อว่า ทำไมไม่บอกกันบ้างเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ขอบใจมากเลยเพื่อนแล้วเจอกันสบายสบายไม่มีปัญหาหรอกเรายังเป็นเพื่อนรักกันเหมือนเดิมเราคุยกันได้ทุกเรื่องแต่ผมจะไม่คุยเรื่องนี้อีกเลยสุดยอด ไหมครับ

และไม่มีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน ถ้าเค้าบอกว่าไม่ อย่าตื๊อ อย่าโน้น นี้นั้น

ท่านต้องแลนดิ้งให้ลงมาก่อน แบบที่ผมบอกแลนด์สวยสวยดูดีมากแล้วทำต่อไปเมื่อท่านประสบความสำเร็จเค้ายังอยู่ที่เดิมเค้าจะเป็นคนนอนร้องไห้ทุกคืนแต่เวลาเจอหน้าท่านเค้าจะแบบ ยินดีด้วย

ท่านขับรถเบ้นซ์เค้าอาจจะยังรถมือสองคันเดิมที่ยังไม่เปลี่ยนเลย 15 ปีแล้ว

ผมจะเล่าวิธีการชวนคนวิธีที่หนึ่งให้ฟังแล้วก็ Mind set ในการที่จะคิดให้รวยให้ยิ่งกว่าเมื่อกี้อีก

โดยที่จะสรุปเนื้อหาในตรงนี้ก่อนว่าหลังจากที่ท่านพูดแบบที่ผมพูดแล้วท่านจะไม่โดนปฏิเสธใดใดทั้งสิ้น พอท่านแค่เชิญเขามาดูโอกาส แล้วถ้าเขาบอกไม่ใช่ท่านก็แค่ปล่อยเขาไปแล้วก็หาคนใหม่ แค่นั้นเอง

การโดนผู้หวังปฏิเสธโดยที่เขาไม่มีข้อมูลอะไรสักนิดและเขาไม่คิดที่อยากจะรู้ด้วยซ้ำทั้งๆ ที่ท่านรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านรู้มันน่าตื่นเต้นมันน่า สนใจ ธุรกิจนี้มันดีมากเลยทำไมไม่เข้าใจเลยทำไมไม่รู้เรื่อง

แต่เป็นเพราะว่าท่านไม่เข้าใจขั้นตอน ท่านไปพูดธุรกิจหนึ่งท่านไม่มีการแย้มประตูแง้มใจเขาก่อนท่านจะเชิญคน 100 คนท่านก็จะโดนปฏิเสธ 95 97 คนอยู่ดีอย่าให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดกับท่าน ทำอย่างที่ผมบอกเพราะถ้าท่านทำแบบที่ผมบอกมันจะมีแค่สองเหตุการณ์เท่านั้นที่สามารถเกิดขึ้นได้หลังจากที่ท่านนั้นปล่อยเรือลงไปน้ำ ท่านแค่ถามคนออกไปคือถ้ามันไม่ลอยมันก็จมแค่นั้นเอง

มันหมายถึงอะไรมันหมายถึงผู้มุ่งหวังไม่รวยกับเราก็อาจจะไปรวยทางอื่นหรืออยู่ที่เดิมแต่เรายืนอยู่บนฝั่งเราไม่จมไปกับเขา

อย่าให้ Mind set ที่ไม่ถูกต้องมาทำให้ท่านโอ้ยฉันปล่อยเรือลงไปแล้วเรือมันจมฉันกระโดดน้ำตายตามตามเขาดีกว่านี่ไง Mind set ของคนที่ ทำธุรกิจเครือข่ายแล้วไม่ประสบความสำเร็จไม่ได้รับการพัฒนา Mind set

ท่านดูรูปนี้สิครับท่านอยู่บนฝั่งท่านจะแคร์อะไรเล่า ก็ปล่อยเรือออกไปใหม่ในเมื่อคนบนโลกนี้ 1,000,000,000 คน คนในประเทศไทยมี 70,000,000 คน

ในชีวิตท่าน ท่านต้องรู้จักอย่างน้อย 200 คน คนในอินเตอร์เน็ต ถ้าท่านยังจะสปอนเซอร์ท่านก็ต้องเรียนรู้จะมีให้คุย 25,000,000 คนท่านจะกระโดดน้ำตายเริ่มทำธุรกิจไปพร้อมกับพวกนี้ทำไมเล่า

วิธีคิดสำคัญสุดสุดเลย ท่านคิดเลยครับว่าท่านเกิดมาเพื่อเป็นผู้ให้ ให้ทานคือเป้าหมายของท่านเหมือนอย่างผมทุกเช้าผม จะต้องให้ทานถ้าผมไม่ให้ทานไม่ให้อะไรออกไปผมจะไม่ทานข้าวเด็ดขาด

การให้ทานของผมคือผมจะมองหาว่ามีใครเดือดร้อนอะไรไหมในอินเตอร์เน็ตหรือรอบข้างผม ผมจะบริจาคเงินช่วยเหลือ สัตว์พิการหรือไม่ก็ผมจะให้ธรรมะเป็นทานผมถึงจะทานข้าวได้

เพราะฉะนั้นเมื่อผมตัดสินใจแล้วว่าฉันจะไม่ทานข้าวเด็ดขาด ถ้าฉันยังไม่ได้ให้ทานผู้คน ท่านลองตัดสินใจดูครับว่าฉันจะไม่นอนเลยตั้งแต่เช้าจนเย็นเลยถ้าฉันไม่ได้ปล่อยเรือ 10 ลำ คุยกับคน 10 คน

ถ้าฉันไม่ได้ถามผู้คนโดยการแบ่งปันโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่สุดของธุรกิจให้กับเขาส่วนเค้าจะเอาหรือไม่ เค้าจะเป็นเรือจมหรือเรือลอยมันเป็นปัญหาของเขา

ทำตัวให้เป็นแก้วน้ำที่ว่างแล้วใส่สิ่งที่ผมแบ่งปันลงไป ลดอีโก้ตัวเองลง แล้วชีวิตท่านจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอีกเลยลดอีโก้ของท่านลงแล้วรายได้ท่านจะเพิ่มขึ้น

เมื่ออีโก้สูงรายได้ก็จะต่ำ เมื่ออีโก้ต่ำรายได้ก็จะสูง กฎของการสร้างรายได้มันเป็นแบบนี้

ถ้าเนื้อหานี้มีประโยชน์กับท่าน เราอยากทราบว่าท่านมีความคิดเห็นอย่างไร เขียนความเห็นที่ด้านล่างนี้ได้เลยครับ

ท่านสามารถช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับผู้คนได้โดยการแชร์บทความนี้ออกไปเยอะๆ นะครับ

แด่ความสำเร็จของท่าน